เปิดไทม์ไลน์ข้อพิพาท สปสช. - หมอเหรียญทอง ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ

10 ต.ค. 2568 | 07:30 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ต.ค. 2568 | 13:01 น.

เปิดชนวนเหตุข้อพิพาทเดือด ระหว่าง สปสช.- หมอเหรียญทอง ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ ทวงถามหนี้ค้างชำระจาก สปสช. นับร้อยล้านบาทส่งผลให้ขาดสภาพคล่องและกระทบผู้ป่วยสิทธิบัตรทองกว่า 4.7 หมื่นคน

KEY

POINTS

  • ข้อพิพาทเริ่มต้นในปี 2563 เมื่อ รพ.มงกุฎวัฒนะ ต้องรับภาระผู้ป่วยสิทธิบัตรทองเพิ่มขึ้นจำนวนมาก หลัง สปสช. ยกเลิกสัญญาคลินิกอื่นที่พบการทุจริต ทำให้โรงพยาบาลมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
  • สถานการณ์รุนแรงขึ้นในเดือนมีนาคม 2567 เมื่อ สปสช. เปลี่ยนแปลงรูปแบบการจ่ายเงินชดเชยผู้ป่วยนอก (OP New Model 5) ซึ่งส่งผลให้การจ่ายเงินให้โรงพยาบาลเกิดความล่าช้า
  • พล.ต.นพ.เหรียญทอง ประกาศผ่านเฟซบุ๊กทวงหนี้ค้างชำระ 110 ล้านบาท และเตรียมหยุดให้บริการผู้ป่วยนอกสิทธิบัตรทองตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2568 เนื่องจากปัญหาหนี้สินไม่ได้รับการแก้ไข

ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง มีปัญหาเรื่องการค้างชำระหนี้ค่าบริการแก่โรงพยาบาลทำให้โรงพยาบาลขาดสภาพคล่องในการดำเนินงานและกระทบต่อการให้บริการแก่ประชาชน

เรื่องนี้แม้แต่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวยอมรับว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีหนี้สินค้างชำระกับโรงพยาบาลเกือบทุกแห่งเตรียมพิจารณาใช้งบประมาณกลางเพื่อชำระหนี้แก้ไขปัญหาในเรื่องนี้

ปัญหาข้อพิพาทล่าสุดระหว่าง สปสช. กับ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ สะท้อนภาพให้เห็นได้อย่างชัดเจน โดยมีจุดเริ่มต้นในปี 2563 เมื่อ สปสช. ยกเลิกสัญญา คลินิกชุมชนอบอุ่น และ โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เนื่องจากตรวจพบการทุจริตข้อมูล

โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เป็นแห่งเดียวที่ผ่านการตรวจสอบโดย "ไม่พบการทุจริต" ส่งผลให้ในเวลาต่อมาต้องรับภาระผู้ป่วยสิทธิบัตรทองเพิ่มขึ้นอย่างมากแทนหน่วยบริการที่ถูกยกเลิกสัญญาทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่า 13 ล้านบาท (ปัจจุบันดูแลผู้ป่วยสิทธิบัตรทองกว่า 4.7 หมื่นคน) 

สถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2567 เมื่อสปสช. ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารงบประมาณผู้ป่วยนอกเป็น OP New Model 5 ในรูปแบบเหมาจ่ายรายหัว โดยกำหนดให้ต้องตรวจสอบข้อมูลก่อนการจ่ายชดเชยทุกครั้ง ก่อนมีการส่งต่อผู้ป่วย รวมถึงขอตรวจสอบข้อมูลบริการย้อนหลังตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 ถึงกุมภาพันธ์ 2567 การเปลี่ยนแปลงระบบดังกล่าวส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการจ่ายชดเชยให้กับโรงพยาบาลรับส่งต่อ

อย่างไรก็ดี มีความพยายามในการแก้ไขปัญหามาต่อเนื่องโดยในวันที่ 30 ตุลาคม 2567 สปสช. ได้ตั้งคณะทำงานเพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหากับผู้บริหารโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โดยโรงพยาบาลได้เสนอให้เร่งรัดการจ่ายค่าบริการที่คงค้างโดยเร็วและขอให้พิจารณาจ่ายเงินล่วงหน้าบางส่วนเพื่อให้มีสภาพคล่องทางการเงินในการดำเนินงาน

เปิดไทม์ไลน์ข้อพิพาท สปสช. - หมอเหรียญทอง ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ

คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ได้มีการประชุมในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 และมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การจ่ายเงินล่วงหน้า (Prepaid) เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องของหน่วยบริการในกรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งเห็นชอบให้ปรับกระบวนการตรวจสอบก่อนการเบิกจ่ายให้รวดเร็วและทันเวลา ทั้งยังได้อนุมัติให้ขยายจำนวนประชากรเพื่อขึ้นทะเบียนสิทธิบัตรทองของโรงพยาบาลเพิ่มตามศักยภาพการบริการ

ภายหลังมติบอร์ดเพียง 2 วัน สปสช.ได้โอนเงินล่วงหน้าให้โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ จำนวน 60 ล้านบาทในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 และเลขาธิการ สปสช. ได้แถลงรับทราบปัญหาพร้อมแนวทางแก้ไขในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567

แม้จะมีความพยายามในการแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่องแต่สถานการณ์ก็ยังคงไม่คลี่คลาย กระทั่งในวันที่ 7 ตุลาคม 2568 พลตรี นายแพทย์เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ทวงหนี้ค้างชำระจำนวน 110 ล้านบาทจาก สปสช. พร้อมประกาศหยุดให้บริการผู้ป่วยนอก (OPD) แก่ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2568 ระบุว่า

สปสช. ว่าไม่จริงจังและไม่รับผิดชอบต่อการแก้ปัญหาหนี้สินค้างชำระข้ามปีงบประมาณ ผลักภาระให้ผู้ป่วยและโรงพยาบาล จนไม่สามารถหมุนเวียนเงินเพื่อจ่ายค่าแพทย์ บุคลากร และค่ายาได้

เปิดไทม์ไลน์ข้อพิพาท สปสช. - หมอเหรียญทอง ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ

รุ่งขึ้น 8 ตุลาคม 2568 สปสช. กำหนดแถลงข่าวเพื่อชี้แจงในประเด็นดังกล่าว แต่ได้ยกเลิกไป ซึ่งมีรายงานว่า หมอเหรียญทอง ได้เดินทางไปเพื่อฟังการชี้แจงดังกล่าวด้วยแต่ไม่มีการแถลง จนกระทั่งวันที่ 9 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา สปสช.จึงกำหนดการจัดแถลงข่าวอีกครั้ง โดย หมอเหรียญทองได้เข้าร่วมฟังการแถลงอีกครั้ง

ข้อพิพาทระหว่าง สปสช. กับ รพ.มงกุฎวัฒนะ ได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาโครงสร้างของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าโดยเฉพาะเรื่องของกลไกการจ่ายชดเชยค่าบริการและการกระจายภาระผู้ป่วย โรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมระบบต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านสภาพคล่องทางการเงินจากการจ่ายเงินล่าช้าและการรับภาระผู้ป่วยจำนวนมาก ขณะที่ สปสช. ต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์พร้อมแก้ไขปัญหามาต่อเนื่องถึงวันนี้