คนไทยป่วย 'ซึมเศร้า' พุ่ง! จี้เพิ่มจิตแพทย์-แก้ยาแพง-เปิดทางเข้าถึงการรักษา

02 ต.ค. 2568 | 21:52 น.

เปิดสถิติคนไทยป่วยจิตเวชพุ่ง “ซึมเศร้า”ทะลุ 4.2 แสนคน อัตราการฆ่าตัวตายสูงสุดในรอบ 10 ปี แพทย์ชี้ 4 ปัญหาต้องเร่งแก้ ทั้งขาดแคลนจิตแพทย์ ยาขาดประสิทธิภาพ-ราคาสูง เข้าถึงการรักษายาก ผู้ป่วยไม่กล้าเปิดเผย ด้านสธ. เตรียมตั้งศูนย์ให้คำปรึกษา 580 แห่งใน 76 จังหวัด

KEY

POINTS

  • สถานการณ์ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในไทยน่าเป็นห่วง โดยมีจำนวนผู้ป่วยและอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและสูงสุดในรอบ 10 ปี
  • ไทยเผชิญปัญหาขาดแคลนจิตแพทย์อย่างรุนแรง ประกอบกับยารักษาในโรงพยาบาลรัฐมีข้อจำกัด ล้าสมัย และมีราคาสูงเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพ
  • ประชาชนเข้าถึงการรักษาได้ยาก เนื่องจากโรงพยาบาลเอกชนมีค่าใช้จ่ายสูง ขณะที่โรงพยาบาลรัฐต้องรอคิวนานหลายเดือน ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที

รายงานภาวะสังคมไทย ไตรมาส 2/2568 ระบุถึงสถานการณ์ด้านสุขภาพจิตของคนไทยว่า ข้อมูลการประเมินสุขภาพจิตของคนไทย (Mental Health Check In : MHCI) ไตรมาส 2 ปี 2568 มีผู้เข้ารับการประเมินจำนวน 2.9 แสนคน พบผู้ที่เสี่ยงซึมเศร้ามีสัดส่วนสูงที่สุด 7% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีสัดส่วน 5.2% รองลงมาเป็นผู้ที่มีความเครียดสูง 6.3% ผู้ที่เสี่ยงฆ่าตัวตาย 3.9% และผู้ที่มีภาวะหมดไฟ 2%

ปัญหาสุขภาพจิตที่มีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิต พบว่าจำนวนผู้ป่วยจิตเวชประเภทผู้ป่วยนอกที่มารับบริการในหน่วยงานสังกัดดังกล่าว ในปีงบประมาณ 2565 – 2567 เพิ่มขึ้นจากจำนวน 3.5 ล้านคน ในปีงบประมาณ 2565 เป็น 4.4 ล้านคน ในปีงบประมาณ 2567

และผู้ป่วยด้วยโรคซึมเศร้า ในปีงบประมาณ 2567 พบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 428,534 คน จาก 359,737 คน ในปีงบประมาณ 2566 ขณะที่ในปีงบประมาณ 2567 มีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายจำนวน 5,217 คน คิดเป็นอัตรา 8.02 รายต่อประชากรแสนคน ซึ่งมีอัตราเพิ่มสูงที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา บ่งชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์ด้านจิตเวช ของไทยกำลังเข้าสู่ขั้นวิกฤต

ขาดแคลนจิตแพทย์

นายแพทย์ธนานันต์ นุ่มแสง แพทย์จิตเวช โรงพยาบาลพระรามเก้า เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากปัญหาด้านจิตเวชที่กำลังขยายตัวเป็นวงกว้างในปัจจุบัน โรงพยาบาลเอกชนถือว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาสูงมาก แต่เมื่อมองในเชิงระบบของประเทศไทย ค่อนข้างมีข้อจำกัดสำหรับการรักษาในโรงพยาบาลรัฐ และมักถูกมองข้ามแตกต่างจากกลุ่มโรคอื่นๆ ประกอบด้วย

1.ปัญหาการขาดแคลนจิตแพทย์ ทั้งนี้พบว่าประเทศไทยมีจิตแพทย์ทั้งในโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชนประมาณ 700 คนเท่านั้น โดยกระจายอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯทั้งในระบบและนอกระบบราว 200 คน และอีก 400 - 500 คน กระจายอยู่ในต่างจังหวัด ขณะที่การผลิตจิตแพทย์ในประเทศไทยอยู่มีน้อยมากโดยมีจิตแพทย์สำหรับผู้ใหญ่ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 30 คนต่อปี ส่วนจิตแพทย์สำหรับรักษาเด็กเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10-12 คนต่อปี

นายแพทย์ธนานันต์ นุ่มแสง

“จิตแพทย์ในระบบของประเทศไทยถือว่ายังขาดแคลนเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะทางฝั่งยุโรปหรืออเมริกา แตกต่างจากแพทย์สาขาอื่นที่สามารถผลิตได้หลายร้อยคนต่อปี บางสาขาอาจถึงหลักพันคน นอกจากนี้ จิตแพทย์บางส่วนก็ลาออกแม้เพิ่งจบใหม่ได้ไม่นาน ในบางครั้งก็เกิดภาวะหมดไฟ (Burnout Syndrome) บางส่วนก็เกษียณอายุ”

อีกสาเหตุหนึ่ง คือแพทย์ทางด้านจิตเวชมีรายได้น้อยกว่าแพทย์สาขาอื่น เพราะไม่มีค่าเวร ไม่มีค่าผ่าตัด รายได้หรือเงินเดือนตามระบบเทียบเท่ากับเงินเดือนข้าราชการทั่วไป และเมื่อเทียบกับปริมาณคนไข้จิตเวชที่ต้องตรวจก็มีเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ถือว่าไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ช่วยเหลือคนไข้ได้ไม่เต็มกำลัง เพราะมีเวลาคุยกันไม่เกิน 5 นาที ทำความเข้าใจถึงปัญหาคนไข้จริงๆ ไม่ได้ ทำได้เพียง Screening ประเมินอาการ ให้คนไข้รับยาแล้วกลับบ้านเท่านั้น

ยาขาดประสิทธิภาพ ราคาสูง  

2. ปัญหายาขาดประสิทธิภาพและราคาสูง การใช้ยาในระบบกระทรวงสาธารณสุขมีข้อจำกัด ยารักษาโรคทางด้านจิตเวชในระบบไม่อัพเดทมานานเกินกว่า 10 ปี วนเวียนอยู่กับยาตัวเดิมซ้ำไปมา ประสิทธิภาพการรักษาด้อยกว่ายาของโรงพยาบาลเอกชน คุณภาพการรักษาก็ลดลงไปด้วย ขณะที่เทรนด์การรักษาด้านจิตเวชของทั่วโลก มียาชนิดใหม่ที่ถูกพัฒนาให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นตามกลุ่มโรค และสามารถนำมาใช้ในประเทศไทยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่มีราคาสูงมากและส่วนใหญ่จะใช้ในโรงพยาบาลเอกชน ทำให้รักษาโรคทางจิตเวชของไทยไม่ด้อยไปกว่าประเทศอื่น

 “ในฐานะแพทย์จิตเวชที่เคยทำงานรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลรัฐมาก่อน มองว่าเรื่องนี้เป็นข้อจำกัดมาก บางครั้งผู้ป่วยกินยาเยอะแต่อาการของโรคไม่ดีขึ้นเลย โอกาสหายก็น้อยมาก เพราะไม่มียาตัวใหม่ที่ตอบโจทย์โรคดีกว่ายาตัวเก่า เพราะยาเป็นส่วนหนึ่งทำให้ปัญหาสุขภาพจิตในไทยยังวนเวียนอยู่กับที่ โดยเฉพาะโรคซึมเศร้า หากผู้ป่วยอาการไม่ดีขึ้นจะส่งผลให้อัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นได้”

เข้าถึงการรักษายาก-ใช้เวลานาน

3. ข้อจำกัดในการเข้าถึงการรักษา ไม่ว่าจะสถานะทางการเงิน ครอบครัว สังคม หรือสิ่งแวดล้อม ล้วนส่งผลต่อการรักษาทั้งสิ้น ทั้งนี้จะเห็นว่า การพบจิตแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนยังมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ประมาณ 4,000-6,000 บาทต่อครั้ง หรือ 6-7 หมื่นบาทต่อการรักษา 1 เคส บางครั้งไม่สามารถเบิกจ่ายหรือใช้ประกันต่างๆ ได้

เช่น โรคซึมเศร้า ต้องพบจิตแพทย์ 1-2 ครั้งต่อเดือน การรักษาในระยะเริ่มต้นประมาณ 3-6 เดือน ระยะเวลารวมประมาณ 9-12 เดือน หรือ 1 ปี ในกรณีที่คนไข้กลับมาเป็นซ้ำจะต้องขยับเวลาในการรักษานานขึ้น 1-5 ปี หากกลับมาเป็นซ้ำอยู่เรื่อย ๆ ก็จำเป็นที่ต้องกินยาไปตลอดชีวิต

ส่วนคนไข้ที่ใช้บริการโรงพยาบาลรัฐ กรมสุขภาพจิต โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้พยายามสนับสนุนบุคคลากรพยาบาลที่จบเฉพาะทางเกี่ยวกับด้านจิตเวช เข้ามาคัดกรองผู้ป่วยในเบื้องต้น แม้สิทธิ์การรักษาจะครอบคลุมโครงการสนับสนุนของรัฐบาลหรือใช้สิทธิ์ 30 บาท แต่อาจต้องรอเวลานัดหมายอย่างน้อย 4-6 เดือนขึ้นไป และประสิทธิภาพการรักษาก็อาจมีข้อจำกัดเรื่องยา อย่างที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น

คนไทยป่วย 'ซึมเศร้า' พุ่ง! จี้เพิ่มจิตแพทย์-แก้ยาแพง-เปิดทางเข้าถึงการรักษา

4. ปัญหาของผู้ป่วย ที่พบได้บ่อย คือ คนรอบตัวผู้ป่วยไม่เข้าใจเกี่ยวกับโรคทางจิตเวช ทำให้ผู้ป่วยไม่กล้าพูด ไม่อยากบอกสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ให้ใครรู้ บางครั้งอาจถูกมองว่าการมาพบจิตแพทย์เป็นสิ่งผิดปกติ แตกต่างจากคนป่วยทั่วไป สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลและส่งผลต่อความคิดของผู้ป่วยสูง

 “หากพูดถึงการรักษาโรคทางจิตเวชในประเทศไทย จะเห็นปัญหาเชิงระบบและบุคคลหลายประเด็น และคนไข้จิตเวชส่วนใหญ่จะมีอาการของโรคเฉลี่ยมากกว่า 1 กลุ่มโรค ในทางจิตเวชจะแบ่งกลุ่ม เช่น กลุ่มโรคทางอารมณ์ กลุ่มโรคเกี่ยวกับความวิตกกังวล กลุ่มโรคจิตเภท หรือ กลุ่มโรคอาการหลงผิด เห็นภาพหลอน เป็นต้น แต่ละกลุ่มโรคอาจจะมีพฤติกรรมย่อยทั้งที่เป็นโรคและยังไม่นิยามว่าเป็นโรค”

สธ.เร่งตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาทั่วประเทศ

นายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แนวทางการดำเนินงานด้านสุขภาพจิตตามประเด็นนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกอบด้วย 1. สร้างเด็กสมวัย สร้างสายใยครอบครัว และ 2. เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพจิตและยาเสพติด ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ดูแลใจ ทุกวัย ทุกคน”

โดยจะมีการเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพจิตและยาเสพติดภายใน 4 เดือนนี้ กรมสุขภาพจิตจะดำเนินการให้มีศูนย์ให้การปรึกษาซึ่งจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการด้านสุขภาพจิตเชิงรุกให้กับประชาชน ลดระยะเวลาในการรอคอยเพื่อรับคำปรึกษาด้านสุขภาพจิต โดยจะกระจายใน 76 จังหวัด รวม 580 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทย

รวมถึงการเพิ่มการเข้าถึงผ่านช่องทางให้บริการสุขภาพจิต ต่าง ๆ เช่น DMIND ระบบคัดกรองภาวะซึมเศร้าด้วยปัญญาประดิษฐ์ ,วัยเรียนและวัยรุ่นจะได้รับการคัดกรอง ดูแลสุขภาพจิต ในสถานศึกษาด้วย ระบบHERO OBEC CARE รวมไปถึง www.สุขภาพจิต.com ตั้งเป้าจะสามารถเพิ่มการเข้าถึงได้มากถึง 1.5 ล้านครั้งภายใน 4 เดือนนี้ อีกด้วย

ส่วนเป้าหมายใน 4 ปีข้างหน้า ปีนี้ประชาชนจะได้รับบริการศูนย์ให้การปรึกษา จำนวน 2 ล้านคน  และเข้าใช้งาน www.สุขภาพจิต.com 8.5 ล้านครั้ง , ได้รับการคัดกรองและดูแลภาวะซึมเศร้าด้วยปัญญาประดิษฐ์  DMIND มากกว่า 5 แสน users วัยเรียนและวัยรุ่นจะได้รับการคัดกรองระวังปัญหาพฤติกรรมอารมณ์สังคม ผ่าน HERO OBEC CARE มากกว่า 3.5 ล้านคน

ในส่วนของการดูแลผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและยาเสพติดจะเน้นการเฝ้าระวังและค้นหากลุ่มเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรงด้วยระบบ V-CARE และขยายผลโปรแกรมครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็งเพื่อเพิ่มการหยุดเสพต่อเนื่องโดยชุมชนมีส่วนร่วมในส่วนผู้ป่วยมีแนวโน้มจะก่อความรุนแรงใน 4 เดือนนี้

ผู้ต้องขังที่ป่วยจิตเวช และได้รับการปล่อยตัว ตั้งเป้าภายใน 4 เดือนนี้ จะได้รับยาฉีดออกฤทธิ์เนิ่น ( LAI) 100% ควบคุมอาการ และ 35% ของผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดก่อความรุนแรงเข้าถึงบริการ คาดว่าภายใน 4 ปีนี้ ปีนี้จะสามารถลดอัตราการหยุดเสพต่อเนื่องของผู้ป่วยยาเสพติดกลุ่มเขียวเหลืองได้มากกว่า 60% ในชุมชนที่ดำเนินการ และ 40% ของผู้ป่วยยาเสพติดหยุดเสพต่อเนื่องอย่างน้อย 1 ปี

5 อันดับโรคจิตเวชพบบ่อย

โรคจิตเวชที่พบบ่อยที่สุดปัจจุบัน 5 อันดับแรก คือ 1. โรคซึมเศร้า คาดว่าสูงถึง 1 ใน 4 ของประชากร 2. โรควิตกกังวล 3.โรคแพนิค 4.โรคจิตเภท (Schizophrenia) รวมถึงโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar) 5. ภาวะสมองเสื่อม หรือ โรคอัลไซเมอร์ ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ตามประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และโรคนี้อาจพบได้สูงถึง 50% ในคนอายุ 80 ปีขึ้นไป

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาโรคทางจิตเวชที่เห็นเด่นชัดทางพฤติกรรม ได้แก่ 1. การใช้สารเสพติด พบมีแนวโน้มสูงขึ้น เพราะเมื่อคนมีความเครียดแล้วหาทางออกไม่ได้ มักจะหันหน้าพึ่งพาสารเสพติด ซึ่งอาจะเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุด ส่งผลให้เกิด 2. ปัญหาอาชญากรรมตามมา

3. เกิดความรุนแรงในครอบครัวและสังคม เช่น ครอบครัวแตกแยก มีความขัดแย้งระหว่าง Generation 4. ประสิทธิภาพในการทำงานของบุคคลลดลง อัตราการลาออกจากงานสูง และ 5. เกิดการฆ่าตัวตาย ยกตัวอย่างกรณีโรคซึมเศร้าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีมากถึงหลักร้อยคน อัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จคิดเป็น 5-8% (ไม่นับที่พยายามฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ)