วิกฤติ! คนไทยป่วย “จิตเวช” พุ่ง “ซึมเศร้า” ครองแชมป์ “ภาวะเบิร์นเอาท์” มาแรง

27 ก.ย. 2568 | 18:15 น.

วิกฤติสุขภาพจิต “โรคซึมเศร้าพุ่งทะลุ 1.5 ล้านคน ตั้งแต่วัยรุ่น วัยทำงาน ผู้สูงอายุ กระทบหนักเศรษฐกิจ-สังคม ตามด้วยโรควิตกกังวล แพนิค จิตเภท และอัลไซเมอร์ ขณะที่ “จิตแพทย์” ขาดแคลนหนัก ค่าใช้จ่ายสูง

KEY

POINTS

  • คนไทยป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่า 1.5 ล้านคน ซึ่งเป็นโรคทางจิตเวชที่พบบ่อยที่สุด โดยมีสาเหตุหลักมาจากความเครียด
  • ภาวะหมดไฟ (Burnout) เป็นอีกหนึ่งโรคทางจิตเวชที่กำลังเป็นเทรนด์และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทำงานและวัยรุ่น
  • วิกฤตสุขภาพจิตส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อสังคมและเศรษฐกิจ ทั้งปัญหาอาชญากรรม ประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง และการฆ่าตัวตาย
  • การเข้าถึงการรักษายังเป็นเรื่องยาก เนื่องจากจำนวนจิตแพทย์ในประเทศมีจำกัด ทำให้การรอคิวในโรงพยาบาลรัฐนานและค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลเอกชนสูง

ปัญหาสุขภาพจิตกำลังคุกคามสังคมไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 18 ปีขึ้นไปถึงวัยเกษียณ ข้อมูลล่าสุดพบว่า มีตัวเลขผู้ป่วยซึมเศร้ามากกว่า 1.5 ล้านคน ต้นตอจากความเครียด ส่งผลกระทบต่อชีวิตบุคคล ลุกลามเป็นปัญหาสังคม ทั้งอาชญากรรมและส่งผลต่อประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจที่ลดลง ขณะที่จิตแพทย์ไทยในประเทศมีจำกัด ผู้ป่วยโรงพยาบาลรัฐเข้าถึงการรักษายาก โรงพยาบาลเอกชนค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว

นายแพทย์ธนานันต์ นุ่มแสง แพทย์จิตเวช โรงพยาบาลพระรามเก้า เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ข้อมูลล่าสุดจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ปี 2567 ระบุถึง ปัญหาด้านจิตเวชกำลังขยายตัวเป็นวงกว้างในประเทศไทย คนไทยส่วนใหญ่กว่า 1.5 ล้านคน ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 17% ของประชากร และอีก 15% มีความเครียดสูงอยู่ในระดับ Screening ต้องถูกประเมินและเข้ารับการคัดกรอง โดยยังไม่นับรวมกับกลุ่มที่ไม่รู้ตัวว่า “ป่วย”

สถานการณ์ของประชากรไทยกับประชากรโลกถือว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ผู้ป่วยจิตเวชมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากสาเหตุสำคัญคือ “ความเครียด” ซึ่งเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา หลังจากเกิดโควิด-19 ทั้งจากสภาวะเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม หลายอย่างประกอบกัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทำงาน วัยรุ่นเรียนจบใหม่ และผู้ประกอบการธุรกิจส่วนตัว

วิกฤติ! คนไทยป่วย “จิตเวช” พุ่ง “ซึมเศร้า” ครองแชมป์ “ภาวะเบิร์นเอาท์” มาแรง

วัยรุ่นช่วงเรียนมหาวิทยาลัยหรือวัยทำงานอายุ 18-30 ปี เป็นกลุ่มที่ต้องระวัง เพราะแบกรับภาระและแรงกดดันหลายอย่าง บางคนเริ่มมีครอบครัว ต้องมีความรับผิดชอบ มีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ การงาน การเงิน เมื่อเกิดความเครียดก็สะสมกลายเป็นโรคทางจิตเวช ที่อาจพบได้มากถึง 3 ใน 4 ของประชากรทั้งหมด

โดยช่วงอายุ 18-30 ปี จะป่วยโรคทางจิตเวชในกลุ่มโรคทางอารมณ์ เช่น โรคซึมเศร้าซึ่งพบได้บ่อยที่สุด ในวัย 30-60 ปี จะพบโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวล หลังจากอายุ 60 ปีเป็นต้นไปหรือวัยหลังเกษียณ จะเป็นโรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ หลายคนจะรู้สึกว่าตัวเองหมดคุณค่าและถูกแทนที่ด้วยปัญหาทางสุขภาพ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย ถัดมาคือโรคเกี่ยวกับความเสื่อมทางด้านสมอง เช่น อัลไซเมอร์ แม้กระทั่งความวิตกกังวลต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน

นายแพทย์ธนานันต์ กล่าวว่า โรคจิตเวชที่พบบ่อยที่สุดปัจจุบัน 5 อันดับแรก คือ 1. โรคซึมเศร้า คาดว่าสูงถึง 1 ใน 4 ของประชากร 2. โรควิตกกังวล 3.โรคแพนิค 4.โรคจิตเภท (Schizophrenia) รวมถึงโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar) 5. ภาวะสมองเสื่อม หรือ โรคอัลไซเมอร์ ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ตามประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และโรคนี้อาจพบได้สูงถึง 50% ในคนอายุ 80 ปีขึ้นไป

วิกฤติ! คนไทยป่วย “จิตเวช” พุ่ง “ซึมเศร้า” ครองแชมป์ “ภาวะเบิร์นเอาท์” มาแรง

ส่วนโรคทางจิตเวชที่กำลังเป็นเทรนด์ ได้แก่ 1. ภาวะหมดไฟ หรือ Burnout โดยคาดการณ์คนที่มีภาวะนี้น่าจะประมาณ 15% ของจำนวนประชากร แต่หากสำรวจอย่างจริงจังในรายบริษัทคาดว่าอาจพบผู้ป่วยมากเกินกว่า 50% แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับแรกเป็นภาวะหมดไฟที่อาจจะไม่ได้รุนแรง ระดับปานกลางจะรู้สึกว่าเริ่มไม่มีความสุขกับการทำงาน และในระดับเบิร์นเอาท์รุนแรงจะมีอาการใกล้เคียงกับโรคซึมเศร้า

“ภาวะหมดไฟในชีวิตไม่ใช่แค่หมดไฟในการทำงานอย่างเดียวเท่านั้น บางคนอาจหมดไฟในเชิงของการใช้ชีวิต เช่น การว่างงาน ถูกกดดัน เคยคิดถึงเป้าหมายในชีวิตที่สวยงามและราบรื่น แต่เมื่อหลุดพ้นออกมาจากความฝันสู่โลกความเป็นจริงอาจรู้สึกหมดไฟและท้อแท้ ส่งผลให้เกิดโรคซึมเศร้าตามมาด้วย จากเคยมีแรงขับเคลื่อนที่เห็นเป้าหมายของตัวเองชัดเจน เมื่อเป้าหมายหายไปก็หมดไฟ บางคนอาจเกิดจากข้อจำกัดของชีวิต สังคม ครอบครัว โอกาส ซึ่งเราควบคุมไม่ได้”

2. ปัญหาการกินผิดปกติ (Eating Disorder) เช่น โรคคลั่งผอม Body Dysmorphic ไม่พึงพอใจในรูปร่างของตัวเอง ตามเทรนด์เรื่องของการรักษาหุ่น ซึ่งโรคเหล่านี้หลายคนไม่พบจิตแพทย์ แต่จะไปคลินิกเสริมความงาม คลินิกศัลยกรรม เพื่อแก้ไขความไม่พึงพอใจต่าง ๆ 3. โรคจิตเวชด้านความสัมพันธ์ ( Relationship) กลุ่มอาการหรือโรคจิตเวชที่มีผลกระทบต่อการมีปฏิสัมพันธ์และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเช่น Generation Gap การมีปัญหาภายในครอบครัว เป็นต้น

วิกฤติ! คนไทยป่วย “จิตเวช” พุ่ง “ซึมเศร้า” ครองแชมป์ “ภาวะเบิร์นเอาท์” มาแรง

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาโรคทางจิตเวชที่เห็นเด่นชัดทางพฤติกรรม ได้แก่ 1. การใช้สารเสพติด พบมีแนวโน้มสูงขึ้น เพราะเมื่อคนมีความเครียดแล้วหาทางออกไม่ได้ มักจะหันหน้าพึ่งพาสารเสพติด ซึ่งอาจะเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุด ส่งผลให้เกิด 2. ปัญหาอาชญากรรมตามมา และ 3. เกิดความรุนแรงในครอบครัวและสังคม เช่น ครอบครัวแตกแยก มีความขัดแย้งระหว่าง Generation 4. ประสิทธิภาพในการทำงานของบุคคลลดลง อัตราการลาออกจากงานสูง และ 5. เกิดการฆ่าตัวตาย ยกตัวอย่างกรณีโรคซึมเศร้าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีมากถึงหลักร้อยคน อัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จคิดเป็น 5-8% (ไม่นับที่พยายามฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ)

“ตอนนี้ประชากรไทยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ที่ช่วงอายุ 30-60 ปี หาก 1 ชีวิตสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นฟันเฟืองทำให้เศรษฐกิจ สังคม ประเทศ ครอบครัว คนรอบข้างต่าง ๆ ขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ แต่หากป่วยด้านจิตเวช ประสิทธิภาพการขับเคลื่อนทั้งหมดจะลดลงทันที ซึ่งค่าใช้จ่ายในการรักษาด้านจิตเวชก็ถือว่าสูงพอสมควร และยังมีข้อจำกัดอีกหลายอย่างประกอบกัน”

โดยคนไทยเข้าถึงการรักษาด้านจิตเวชได้ยากมาก เพราะจำนวนจิตแพทย์ในประเทศไทยทั้งในโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชน มีอยู่ราว 700 คน เท่านั้น ตัวเลขจากสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทยระบุไว้ว่า ในพื้นที่กรุงเทพฯ มีจิตแพทย์กระจายตัวอยู่ในระบบและนอกระบบราว 200 คน อีกกว่า 400-500 คน กระจายอยู่ในต่างจังหวัด จิตแพทย์จึงไม่เพียงพอต่อจำนวนประชากรผู้ป่วย คนไข้ที่ใช้บริการโรงพยาบาลรัฐบาลในต่างจังหวัดอาจต้องรอเวลานัดหมายอย่างน้อย 4-6 เดือนขึ้นไป

ส่วนการพบจิตแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนจะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และโรคทางจิตบางครั้งไม่สามารถเบิกจ่ายหรือใช้ผ่านประกันต่างๆ ได้ มีค่าใช้จ่ายประมาณ 4,000-6,000 บาทต่อครั้ง หรือ 6-7 หมื่นบาทต่อการรักษา 1 เคส ยกตัวอย่าง โรคซึมเศร้า ต้องพบจิตแพทย์ 1-2 ครั้งต่อเดือน การรักษาในระยะเริ่มต้นประมาณ 3-6 เดือน ระยะเวลารวมประมาณ 9-12 เดือน หรือ 1 ปี ในกรณีที่คนไข้กลับมาเป็นซ้ำจะต้องขยับเวลาในการรักษานานขึ้น 1-5 ปี หากกลับมาเป็นซ้ำอยู่เรื่อย ๆ ก็จำเป็นที่ต้องกินยาไปตลอดชีวิต

วิกฤติ! คนไทยป่วย “จิตเวช” พุ่ง “ซึมเศร้า” ครองแชมป์ “ภาวะเบิร์นเอาท์” มาแรง

นายแพทย์ธนานันต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มและพฤติกรรมที่ส่งผลให้เกิดความเครียดจนนำไปสู่โรคทางจิตเวช ปัจจุบันอาจสังเกตได้ชัดเจนที่สุดในพฤติกรรมกลุ่ม Gen Z ซึ่งมีโซเชียลมีเดียเข้ามามีอิทธิพลสูงมาก เด็ก Gen Z จะให้ความสำคัญกับการมีพื้นที่บนโซเชียลมีเดียและการถูกยอมรับมาก จนเกิดแรงกดดัน การเปรียบเทียบทางสังคม มีความคาดหวังสูง บางคนต้องแบกรับความคาดหวัง จากทั้งสังคมและครอบครัว เด็กกลุ่มนี้จะเกิดความรู้สึกว่าชีวิตหยุดนิ่งไม่ได้ ต้องแข่งขัน รู้สึกอยากเอาชนะ

ความเครียดเหล่านี้ จะส่งผลต่อความคิดและจิตใจ กระทบไปถึงกลไกสมดุลต่าง ๆ ของร่างกาย เมื่อมีความเครียดร่างกายและสมองจะหลั่งสารคอร์ติซอล (Cortisol) หรือ ฮอร์โมนความเครียด มากเกินไปจนเสียสมดุล ยังมีสารสื่อประสาทที่ใช้ในการควบคุมอารมณ์อย่าง เซโรโทนิน (Serotonin) และโดปามีน (Dopamine) ที่ส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกายเป็นปัจจัยสำคัญด้วย ดังนั้น เมื่อคนเราเครียดจึงทำให้เกิดโรคซึมเศร้าได้ง่าย แต่หากได้รับการกระตุ้นโดยใช้สารเสพติดก็จะทำให้ระดับของสารเหล่านี้เพิ่มขึ้นกะทันหัน ทำให้เกิดโรคจิตเวชแบบเฉียบพลันหรือเกิดอาการคุ้มคลั่งได้

อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยโรคทางจิตเวชไม่ยาก แต่การทำความเข้าใจให้ครบทุกมิติว่าอะไรนำพาเขามาสู่จุดที่ทำให้เกิดโรคนั้นยาก ดังนั้น การทำแบบ Screening Test สามารถช่วยระบุอาการในเบื้องต้นได้ แต่การพบจิตแพทย์คือการวิเคราะห์ในมิติต่างๆ ของคนไข้ ว่าแท้จริงแล้วมีอะไรบ้างที่เป็นปัจจัยทำให้ป่วยเป็นโรคทางจิตเวช