นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการประเมินผ่านระบบ Mental Health Check in ตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 ถึงปัจจุบันพบว่า สถานการณ์สุขภาพจิตของคนไทย มีภาวะเสี่ยงซึมเศร้า ความเครียดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งรัฐบาลเห็นถึงความสำคัญ จึงต้องการสร้างความตระหนักให้กับประชาชน โดย "นางสาวแพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี ประกาศให้เดือนพฤษภาคมเป็น “เดือนแห่งสุขภาพใจ – Mind Month”
เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ถึงความสำคัญของสุขภาพจิต สร้างความตระหนักรู้ถึงปัญหาสุขภาพจิต ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตใจ และลดการตีตราเกี่ยวกับโรคทางจิตเวช ปัญหาสุขภาพทางใจเป็นปัญหาที่สำคัญที่ถูกมองข้าม เพราะแม้มีร่างกายที่สมบูรณ์ แต่หากสุขภาพใจไม่แข็งแรง การทำเรื่องต่าง ๆ ให้สำเร็จย่อมเป็นไปได้ยาก
โดยเฉพาะการเปิดใจรับฟัง โดยไม่รีบตัดสิน เป็นสิ่งสำคัญ และถือเป็นการเสริมความเข้าใจและสร้างความเข็มแข็งทางใจให้กับผู้มีความเสี่ยง ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวไว้ว่า การส่งเสริมภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้กับเด็กตั้งแต่ช่วงปฐมวัย จะช่วยสร้างความเข้าใจทางอารมณ์ให้กับเด็กและเป็นเกราะป้องกันสร้างความเข้มแข็งให้เด็กต่อไปในอนาคต และเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องการเห็นถึงความสำคัญเพื่อร่วมกันในการสร้างสังคมที่เห็นความสำคัญของสุขภาพใจอย่างแท้จริง เพราะคนเรา “จะไม่มีสุขภาพที่สมบูรณ์ได้ หากปราศจากสุขภาพจิตที่ดี”
ทั้งนี้ รัฐบาลต้องการสร้างความตระหนักให้กับประชาชนว่า สุขภาพจิตไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคนทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุจึงได้กำหนดให้สุขภาพจิตเป็นวาระสำคัญระดับชาติ โดยรัฐบาลจะเดินหน้าเสริมสร้างระบบดูแลสุขภาพจิตที่เข้มแข็ง ตั้งแต่ระดับชุมชน โรงเรียน สถานที่ทำงาน ไปจนถึงระบบสาธารณสุข เน้นทั้งการส่งเสริม ป้องกัน ดูแลรักษา และฟื้นฟู
จากนโยบายสำคัญด้านสุขภาพจิตที่จะเริ่มต้นในเดือนพฤษภาคม และในปีนี้จะครอบคลุมคนไทยในทุกช่วงวัยมากกว่า 13.5 ล้านคน โดยเฉพาะนโยบายสำคัญอย่างการจัดตั้ง “ศูนย์ให้การปรึกษาสุขภาพจิต (Mental health counseling center)” จำนวน 37 แห่งภายในเดือนพฤษภาคม และขยายเป็น 340 แห่งภายในสิ้นปีนี้ เพื่อให้พี่น้องประชาชนกว่า 1 ล้านคน ได้รับการปรึกษาและดูแลก่อนที่จะเจ็บป่วยทางใจ
นอกจากนี้ จะมีกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ อีกกว่า 50 กิจกรรม ที่จะเริ่มต้นในเดือนแห่งสุขภาพใจ นับเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัฐบาลในการทำให้คนไทยมีสุขภาพจิตที่ดีอย่างถ้วนหน้า กระตุ้นสังคมไทยให้หันมาใส่ใจพูดคุยเรื่องสุขภาพจิตอย่างเปิดเผย และมีความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตมากขึ้น เพราะ “สุขภาพจิตดี” ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่คือภารกิจของทุกคน ในฐานะสมาชิกของครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีย้ำถึงจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของจิตใจที่เข้มแข็ง คือ “ครอบครัว” ครอบครัวที่เปิดใจรับฟัง ให้พื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์ สนับสนุนกันและกันในวันที่อ่อนล้า คือรากฐานสำคัญที่ช่วยหล่อหลอมคนไทยให้เติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ และมีภูมิคุ้มกันทางใจที่แข็งแรง