นโยบาย 'กัญชาเสรี' ถูกจับจ้องจากสังคมอีกครั้ง หลังจากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก้าวขึ้นสู่ 'นายกรัฐมนตรี' แม้จะมีระยะเวลาทำงานแค่ 4 เดือน
การขับเคลื่อนนโยบายกัญชาเสรี มีภาพชัดเจนขึ้น ในปี 2565 เมื่อนายอนุทิน ในฐานะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ออกประกาศกระทรวงให้ กัญชา พ้นจากบัญชียาเสพติดโดยเปิดให้ประชาชนปลูกและใช้ได้แต่มีข้อจำกัดบางประการ โดยเริ่มต้นจากการปลูกกัญชาเพื่อใช้ในครัวเรือนบ้านละ 6 ต้น หากเหลือจึงขายโดยรัฐจะเป็นคนรับซื้อและดูแลพื้นที่การปลูกโดยการซื้อขายต้องผ่านรัฐ ไม่สามารถซื้อขายได้โดยตรงซึ่งคาดการณ์ว่า จะสามารถสร้างรายได้แก่ครัวเรือนถึงปีละกว่า 4 แสนบาท
กระทั่งเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 รัฐบาลพรรคเพื่อไทยโดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามประกาศให้กัญชาเป็น 'สมุนไพรควบคุม' ห้ามใช้เพื่อการสันทนาการและจำกัดการใช้เพื่อการแพทย์เท่านั้น พร้อมสั่งห้ามจำหน่ายหากไม่มีใบอนุญาต เป็นการ 'หักดิบ' ดึงกัญชากลับสู่การควบคุมอีกครั้ง
จากการศึกษาของศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด ร่วมกับนักวิจัยจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์และสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า การปลดล็อกกัญชาทำให้เกิดผลกระทบหลายประการ
1. ร้านค้ากัญชาไร้การควบคุม: มีจำนวนร้านค้ากัญชาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยว เช่น ถนนข้าวสาร ร้านค้าส่วนใหญ่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบการขออนุญาต และไม่มีการตรวจสอบอายุผู้ซื้อ
2. การใช้กัญชาเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น: วัยรุ่นไทยอายุ 18-19 ปี มีการสูบกัญชาเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า จาก 0.9% ในปี 2562 เป็น 9.7% ในปี 2565 อย่างไรก็ตาม การใช้กัญชาแบบนันทนาการทุกรูปแบบในประชากรไทยอายุ 18-65 ปี ในปี 2566 และ ปี 2567 มีแนวโน้มลดลงบ้างหลังจากการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดของการใช้กัญชาในปี 2565
3. ปัญหาทางสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับกัญชาเพิ่มขึ้น: พบผู้ป่วยด้วยโรคที่เกิดจากการใช้กัญชาที่มาใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพในการรักษาเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในปี 2565 และ 2566 โดยเฉพาะความผิดปกติทางจิตที่เกิดจากกัญชาเช่น โรคจิต (Psychotic disorder) และภาวะพิษจากกัญชา (Acute intoxication)
4. ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและทางอ้อมเพิ่มขึ้น: ประมาณการค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลอันเป็นค่าใช้จ่ายทางตรงและค่าใช้จ่ายทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับการใช้กัญชาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปี 2566 มีประมาณการณ์มูลค่ารวมกว่า 15,828.51 ล้านบาท
ถึงวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า นโยบายกัญชาเสรี ยังไม่สามารถเดินไปสู่เป้าประสงค์ของการปลดล็อกเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้อย่างที่หวัง ตรงกันข้ามได้สร้างความเสียหายทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างมากจากความไม่ชัดเจนเพราะไม่มีกฎหมายออกมารองรับ จากที่เคยมีการประเมินมูลค่าตลาดกัญชาในปี 2568 ไว้สูงถึง 4.2 หมื่นล้านบาทมีอันต้องสะดุดลง การสร้างสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์กับการคุ้มครองสาธารณสุขกลายเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี หากมองในมิติของ ‘กัญชาทางการแพทย์’ แล้ว กล่าวได้ว่า มีความชัดเจนในเชิงนโยบายมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า ในมิตินี้สามารถขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมร่วมกันได้และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยสมาคมสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SME ได้ประเมินตลาดการใช้กัญชาทางการแพทย์ว่า ปัจจุบันมีมูลค่าขั้นต่ำอยู่ที่ 3.6 หมื่นล้านบาท (ยังไม่นับรวมการส่งออก) ในขณะที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากถึง 3 – 4 แสนคน พร้อมจะเข้ามาใช้ประโยชน์จากกัญชาทางการแพทย์ของไทย
วันนี้คงต้องจับตากันว่า ที่สุดแล้ว อนาคตกัญชาไทยจะจำกัดให้เป็น 'กัญชาเพื่อการแพทย์' เท่านั้นหรือจะขยายไปสู่มิติของ 'กัญชาเพื่อสันทนาการ' ด้วยหรือไม่ ยังคงเป็นประเด็นร้อนที่ต้องติดตามกันต่อไป
วิเคราะห์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,134 วันที่ 25 - 27 กันยายน พ.ศ. 2568