KEY
POINTS
จากกรณีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้เพิ่มบริการรถรับส่งผู้ป่วยมะเร็ง 3 รายการเพื่อช่วยลดอุปสรรคค่าใช้จ่ายในการเดินทางและเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยมีมูลนิธิเส้นด้ายจัดทำโครงการร่วมให้บริการกรณีบริการ "ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์" นั้น
มีรายงานว่าจากเสียงสะท้อนของผู้ใช้บริการ นายภูมิสิริ ความสัมพันธ์ ลูกชายของนายสุธรรม ดำสง่า อายุ 72 ปี ชาวจังหวัดสมุทรสงคราม มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) บ้านปากลัด ส่งต่อโรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า เปิดเผยว่า คุณพ่อป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากและได้รับการตรวจวินิจฉัยและส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อเข้ารับการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ (Robotic)
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ตนต้องพาบิดาเดินทางไปโรงพยาบาลศิริราชด้วยตนเองซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางค่อนข้างสูง เหมารถแต่ละครั้งอยู่ที่ประมาณ 1,200 บาท และตลอดกระบวนการรักษาที่ผ่านมา ต้องเดินทางไปกลับโรงพยาบาลแล้วราว 60 ครั้ง ทั้งนี้ เฉพาะในช่วงการรักษาด้วยการฉายแสงเขาต้องพาพ่อเดินทางไปโรงพยาบาลต่อเนื่องติดต่อกัน 5 วัน ทำให้ครอบครัวต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก
ขณะนั้นยังคิดว่า หากมีมูลนิธิหรือหน่วยงานใดเข้ามาช่วยเหลือก็น่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากหลังจากได้รับทราบข่าวจากสื่อว่า ทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้เพิ่มบริการรถรับส่งผู้ป่วยมะเร็ง 3 รายการเพื่อช่วยลดอุปสรรคค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยมีมูลนิธิเส้นด้ายจัดทำโครงการร่วมให้บริการ ซึ่งรายการบริการ ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์รวมอยู่ด้วย จึงได้ลองติดต่อไปยังมูลนิธิเส้นด้ายเพื่อสอบถามรายละเอียดและขอร่วมเข้ารับบริการ
นายภูมิสิริ กล่าวต่อว่า ตอนที่ติดต่อไปนั้นแม้ว่าคุณพ่อได้รับการผ่าตัดและฉายแสงรักษาไปเรียบร้อยแล้วแต่ก็ยังมีขั้นตอนที่คุณหมอยังต้องนัดติดตามอาการต่อเนื่อง ซึ่งจากที่การได้ทดลองใช้บริการรถรับส่งผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อพาคุณพ่อไปหาหมอตามนัด โดยในการประสานได้แจ้งให้ข้อมูลว่า คุณพ่อเป็นผู้ป่วยติดเตียง เดินไม่ได้ ซึ่งทางมูลนิธิเส้นด้ายก็ได้จัดหารถรับส่งที่ผู้ป่วยสามารถนอนได้มาให้บริการรับส่ง
จากที่ได้ลองใช้บริการมีความสะดวกและรู้สึกประทับใจ ไม่เพียงแต่มาตรงตามเวลาที่นัดไว้แต่ทางเจ้าหน้าที่ยังช่วยมาช่วยกันยกคุณพ่อขึ้นรถ ทำให้รู้สึกดีมาก ประกอบกับเป็นบริการของภาครัฐที่ร่วมกับมูลนิธิเส้นด้าย จึงเชื่อถือและอุ่นใจในเรื่องการเดินทาง รู้สึกดีใจมากที่มีโครงการดีแบบนี้
อย่างไรก็ดี นายภูมิสิริ เสนอแนะเพิ่มเติมว่า หากเป็นไปได้อยากให้บริการรถรับส่งผู้ป่วยในโครงการนี้ส่งครอบคลุมไปถึงการรับส่งอาการป่วยที่เกิดจากมะเร็งด้วย เนื่องจากแม้แพทย์ได้นัดติดตามอาการมะเร็งอีกครั้งในเดือนตุลาคม 2568 แต่ในวันที่ 9 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา คุณพ่อก็มีนัดพบแพทย์เพื่อติดตามอาการเส้นเลือดในสมองด้วยซึ่งเป็นโรคที่แทรกซ้อนมาจากมะเร็ง
เบื้องต้นได้สอบถามไปยังสายด่วน สปสช. 1330 แล้ว ได้รับคำตอบว่าไม่สามารถใช้บริการรถรับส่งได้ เนื่องจากไม่ได้อยู่ในกลุ่มโรคมะเร็งตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ แม้เข้าใจว่าต้องเป็นไปตามระเบียบ แต่หากเป็นไปได้ก็อยากให้มีการพิจารณาขยายบริการรถรับส่งให้ครอบคลุมไปถึงโรคแทรกซ้อนจากมะเร็งด้วย เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยและครอบครัวยิ่งขึ้นอย่างมาก
ด้านนางคำผอง ชลเดช ลูกสาว นางหนูแดง ชลเดช อายุ 81 ปี ชาวจังหวัดนนทบุรี เป็นผู้มีสิทธิบัตรทอง ศูนย์บริการสาธารณสุขเทศบาลนครนนทบุรี 7 ตลาดขวัญ ส่งต่อ รพ.พระนั่งเกล้า ป่วยด้วยโรคมะเร็งลำไส้และได้รับการส่งตัวเข้ารักษาผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ที่โรงพยาบาลราชวิถี เมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ระบุว่า ก่อนหน้านี้ตนได้พาแม่เดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาลราชวิถีเอง ประมาณ 50 ครั้ง เฉลี่ยค่าใช้จ่ายในการเดินทางอยู่ที่ประมาณ 400–500 บาทต่อครั้ง
กระทั่งคุณหมอวินิจฉัยให้เข้ารับการผ่าตัดรักษาด้วยหุ่นยนต์และได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลราชวิถีว่า คุณแม่สามารถใช้บริการรถรับส่งผู้ป่วยมะเร็ง จึงตัดสินใจใช้บริการครั้งแรกโดยการพาคุณแม่เข้ารับการผ่าตัด ซึ่งหลังจากนี้ก็คงใช้บริการในการพาไปหาหมอเพื่อติดตามการรักษาตามนัด
"จากที่รับบริการ ต้องบอกว่าเป็นโครงการที่ดีมากๆ ซึ่งผู้ป่วยทั่วไปก็มีความยากลำบากในการเดินทางอยู่แล้ว และหากเป็นผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องผ่าตัดด้วยแล้ว ก็ยิ่งลำบากมากขึ้น ดังนั้นการมีรถมารับส่งผู้ป่วยถึงบ้าน ก็เป็นบริการที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วยและผู้ดูแลอย่างมาก รวมถึงการลดภาระค่าใช้จ่ายด้วย" นางคำผอง กล่าว