3 องค์กรผนึกกำลัง เปิดเวทีปฏิรูปสูตรอาหาร สร้างสุขภาพใหม่ให้คนไทย

18 ก.ย. 2568 | 00:10 น.

สมาคมอุตสาหกรรมอาหารแห่งเอเชีย (FIA) ร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และ สมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย (FoSTAT) จัดงานประชุมหัวข้อ “SCIENCE IN ACTION – Reformulating Thailand’s Food Future” สร้างหมุดหมายใหม่ของอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อโภชนาการที่ดีของคนไทย

KEY

POINTS

  • องค์กรภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันจัดเวทีเสวนาเพื่อผลักดันการปฏิรูปสูตรอาหารสำหรับคนไทย
  • มีเป้าหมายหลักเพื่อลดปริมาณน้ำตาลและโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)
  • เน้นการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารเพื่อพัฒนาสูตรใหม่ที่ดีต่อสุขภาพ แต่ยังคงรสชาติอร่อยถูกใจผู้บริโภค
  • ผลสำรวจชี้ว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยอมรับการปรับสูตรอาหารเพื่อสุขภาพ และยินดีจ่ายเพิ่มหากรสชาติยังคงเดิม

ดร.เจริญ แก้วสุกใส ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทายของสังคมไทย ที่กำลังเผชิญจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิต และโรคหัวใจ ซึ่งเชื่อมโยงกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารรสหวาน มัน และเค็มเกินความต้องการ การปรับสูตรอาหารจึงถูกพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของการป้องกันโรคร้ายเหล่านี้ 

การประชุม “SCIENCE IN ACTION – Reformulating Thailand’s Food Future” จึงนับเป็นความท้าทายในการปรับสูตรอาหารระดับอุตสาหกรรม ความท้าทายของการปรับสูตรอาหารในตลาดไทย ตามความเคยชินของผู้บริโภคที่มีต่อรสชาติแบบเดิม ๆ โดยให้ความสำคัญในการลดโซเดียมซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในการรับรู้ความอร่อยของอาหารส่วนมาก นอกจากนี้ ยังต้องอาศัยการสื่อสารบนบรรจุภัณฑ์เพื่อให้เกิดยอมรับของตลาด ตัวอย่าง การใช้คำอธิบายที่กระตุ้นประสาทสัมผัสแทนคำว่า “ลดเกลือ” ซึ่งสามารถเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ได้มากขึ้น

 “การปรับสูตรอาหาร เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ซับซ้อน แต่จำเป็นที่สุดในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพแก่ผู้บริโภค และในขณะเดียวกันยังสนับสนุนระบบอาหารที่ยั่งยืนและเข้มแข็ง การดำเนินการนี้ต้องอาศัยความสอดคล้องระหว่างหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ กฎระเบียบที่ชัดเจน และต้องสอดคล้องกับความคาดหวังของผู้บริโภค เมื่อบรรลุสมดุลดังกล่าว การปรับสูตรอาหารจะกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้งานได้จริงทั้งต่อภาครัฐและอุตสาหกรรมในการยกระดับด้านโภชนาการ โดยไม่สูญเสียความเชื่อมั่นและคุณภาพของผลิตภัณฑ์”

3 องค์กรผนึกกำลัง เปิดเวทีปฏิรูปสูตรอาหาร สร้างสุขภาพใหม่ให้คนไทย

พญ.วิสารัตน์ ธีระโกเมน รองผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัญหาสุขภาพและโภชนาการของไทยทวีความรุนแรงขึ้น รวมถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการแบบบูรณาการ ตลอดจนแสดงความเห็นพ้องว่าการปรับสูตรอาหารเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญในการลดการบริโภคน้ำตาลและโซเดียมที่มากเกินไป

ศ.ดร.ซามูเอล ก็อดฟรอยด์ แห่งมหาวิทยาลัยลาวาล ประเทศแคนาดา กล่าวว่า ใสนโยบายการปรับสูตร มีข้อกังวลในเรื่องโซเดียม อาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูงก็ถือเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงในงาน โดยคำแนะนำทางโภชนาการระบุว่า ใน 1 วัน เราไม่ควรบริโภคโซเดียมเกิน 2,000 มิลลิกรัม (เปรียบเทียบเท่ากับเกลือ 1 ช้อนชา หรือน้ำปลา 4 ช้อนชา) ทำให้เกิดความท้าทายในการคิดสูตรอาหารใหม่ โดยมีการตั้งเป้าหมายว่าอาหารสูตรปลอดโซเดียม (Sodium Free) จะต้องมีโซเดียมน้อยกว่า 5 กรัม และสูตรโซเดียมต่ำจะต้องมีโซเดียมน้อยกว่า 140 กรัม ร่วมกับการใช้สารทดแทนที่ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เพื่อรักษารสชาติอาหารให้ยังคงความอร่อย แต่ดีต่อสุขภาพมากกว่าเดิม

3 องค์กรผนึกกำลัง เปิดเวทีปฏิรูปสูตรอาหาร สร้างสุขภาพใหม่ให้คนไทย

ด้าน ดร.กชพร มนูญผล รองผู้อำนวยการกองอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ข้อมูลเชิงลึกจากการศึกษาผู้บริโภคในกลุ่มประเทศอาเซียนของ FIA ระบุว่า ผู้บริโภคกำลังลดการบริโภคน้ำตาลลงถึง 81% และลดการบริโภคโซเดียมลง 78% อีกทั้ง 94% มีทัศนคติเป็นกลางหรือเชิงบวกต่อการปรับสูตรอาหาร และที่สำคัญ 82% ระบุว่ายินดีจ่ายเพิ่ม หากรสชาติยังคงคุณภาพเดิม ผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า ความยอมรับของผู้บริโภคคือปัจจัยสำคัญในการกำหนดนโยบายโภชนาการที่มีประสิทธิผล

ดร.คม กมลพัฒนะ จาก FoSTAT กล่าวว่า บทบาทสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหาร ในการผลักดันการปรับสูตรอาหารอย่างยั่งยืน จะช่วยสร้างความเข้าใจโครงสร้างของอาหาร (Food Matrix) การใช้วัตถุดิบทางเลือกเพื่อรักษารสชาติและคุณสมบัติการใช้งาน ตลอดจนการสร้างความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรม คือหัวใจของนวัตกรรมด้านอาหารเพื่อสุขภาพ 

3 องค์กรผนึกกำลัง เปิดเวทีปฏิรูปสูตรอาหาร สร้างสุขภาพใหม่ให้คนไทย

นายแมตต์ โควัค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FIA กล่าวว่า การสนับสนุนจากพันธมิตรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ในการเสวนาในได้สะท้อนให้เห็นถึงการบูรณาการระหว่างวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม และความร่วมมือ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการยกระดับโภชนาการของผู้บริโภคในประเทศ ซึ่ง FIA ยังคงมุ่งมั่นที่จะทำงานเคียงข้างกับทุกภาคส่วนในประเทศไทย เพื่อสร้างศักยภาพและพัฒนาระบบอาหารที่มีสุขภาวะและยั่งยืนสำหรับอนาคต 

โดยการประชุม “SCIENCE IN ACTION – Reformulating Thailand’s Food Future” ได้สะท้อนภาพความร่วมมือแบบพหุภาคีในการบูรณาการเป้าหมายด้านสุขภาพเข้ากับนวัตกรรมที่รับผิดชอบ เพื่อขับเคลื่อนระบบอาหารไทยให้แข็งแกร่งและยั่งยืน เน้นย้ำว่า “สุขภาพดี เริ่มต้นจากอาหารที่ดีกว่า”