สมาคมภัตตาคารไทย เสนอแพ็กเกจนโยบาย 6 แกน ฟื้นธุรกิจร้านอาหาร-ท่องเที่ยว

17 ก.ย. 2568 | 22:17 น.

สมาคมภัตตาคารไทย เสนอแพ็กเกจนโยบาย 6 แกนครบวงจร ช่วยร้านอาหาร-ธุรกิจท่องเที่ยวฟื้นตัวยั่งยืน ทั้งลดต้นทุน เพิ่มรายได้ พัฒนาทักษะ และส่งเสริมการตลาด ตอบโจทย์การเติบโตในระยะยาว

KEY

POINTS

  • เสนอมาตรการด้านการเงินและภาษีเพื่อลดต้นทุน เช่น การลด VAT เหลือ 5% ชั่วคราว, การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน), และการลดค่าสาธารณูปโภค
  • สนับสนุนด้านแรงงานผ่านการอุดหนุนค่าจ้างเพื่อรักษาการจ้างงาน, พัฒนาทักษะบุคลากร, และอำนวยความสะดวกในการนำเข้าแรงงานที่ถูกกฎหมาย
  • กระตุ้นการตลาดและการท่องเที่ยวโดยการจัดเทศกาลอาหารและเส้นทางท่องเที่ยวเชิงอาหาร พร้อมสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมในร้านอาหาร
  • ปรับปรุงกฎระเบียบและใบอนุญาตให้เป็นระบบ One-Stop Service และส่งเสริมแนวทางความยั่งยืนผ่านโครงการ Green Restaurant

นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยข้อมูลกับ ‘ฐานเศรษฐกิจ’ ว่า สมาคมได้รวบรวมข้อเสนอเชิงนโยบายครบวงจรเพื่อเสนอรัฐบาล เพื่อช่วยให้ธุรกิจร้านอาหารและท่องเที่ยวฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและแข็งแรงในระยะยาว

โดยรัฐควรใช้แพ็กเกจนโยบายที่ครอบคลุมทั้ง 4 มิติ คือ การลดต้นทุน เพิ่มรายได้ พัฒนาทักษะแรงงาน และส่งเสริมการตลาด ซึ่งแบ่งออกเป็น 6 แกนหลัก

แกนแรก คือ การเงินและภาษี (Cost Relief & Liquidity) โดยเสนอให้ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับร้านอาหารเหลือ 5% เป็นการชั่วคราว 12 เดือน สำหรับบริการอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่ผสมแอลกอฮอล์ และให้สินเชื่อซอฟต์โลนดอกเบี้ยต่ำ 1–2% วงเงินสูงสุด 5 ล้านบาทต่อกิจการ

 

โดยมี บสย. ค้ำประกัน 70% นอกจากนี้ยังเสนอให้ยกเว้นหรือปรับลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตต่างๆ เช่น ใบอนุญาตอาหาร สุขาภิบาล ดนตรีสด และสื่อโฆษณา ระหว่าง 50–100% เป็นเวลา 1 ปี รวมถึงให้สิทธิหักค่าใช้จ่ายลงทุนยกระดับครัว ระบบความเย็น และพลังงานสะอาดแบบ Super Deduction 2.0 โดยสามารถหักเพิ่ม 1.5–2 เท่าของมูลค่าการลงทุน

แกนที่สอง คือ การลดต้นทุนปฏิบัติการ (Operating Cost) ซึ่งเน้นการสนับสนุนค่าไฟและค่าน้ำในอัตราพิเศษสำหรับกิจการขนาดเล็กและกลาง พร้อมทั้งจัดตั้งตลาดกลางวัตถุดิบอาหารร่วมกับองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรและภาคเอกชน เพื่อตัดตัวกลางและลดราคาวัตถุดิบลง 5–10%

นางฐนิวรรณ กุลมงคล

แกนที่สาม คือ แรงงานและทักษะ (Jobs & Skills) โดยเสนอให้รัฐอุดหนุนค่าจ้างชั่วคราวสำหรับพนักงานเดิมที่รักษาการจ้างงาน 6–12 เดือน ในอัตรา 1,500–2,000 บาทต่อหัวต่อเดือน พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนาทักษะทั้งการใช้ภาษา มาตรฐานการบริการ ความปลอดภัยด้านอาหาร การตลาดดิจิทัล และการบริหารต้นทุน ผ่านอาชีวศึกษา มหาวิทยาลัย และแพลตฟอร์มออนไลน์ นอกจากนี้ ยังเสนอช่องทางนำเข้าแรงงานต่างชาติที่ถูกกฎหมายแบบ Fast-Track สำหรับตำแหน่งขาดแคลน โดยควบคุมมาตรฐานค่าจ้างและสวัสดิการ

แกนที่สี่ คือ การตลาดและการท่องเที่ยว (Demand Stimulus) โดยเน้นจัดเทศกาลอาหารในจังหวัดต่างๆ และเส้นทาง Food Tourism ตั้งแต่ Street Food ไปจนถึง Fine Dining เชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวชุมชน พร้อมทั้งจัดแคมเปญ “Clean Food, Safe & Iconic” เพื่อผลักดันมาตรฐานร้านท้องถิ่น และสร้างคอนเทนต์หลายภาษา

แกนที่ห้า คือ ดิจิทัลและนวัตกรรม (Digital Boost) โดยเสนอให้มินิแกรนท์มูลค่า 50,000–150,000 บาท สำหรับร้านอาหารในการจัดทำเมนูหลายภาษา ระบบจองอาหาร POS และ Inventory รวมถึงเดลิเวอรีและระบบ Loyalty/CRM เปิดเผยข้อมูลภาคท่องเที่ยวและอาหาร เช่น ความต้องการช่วงฤดูกาลและเทศกาล ให้ SMEs ใช้วางแผนธุรกิจ และจัดตั้งกองทุนสตาร์ทอัพด้าน FoodTech และ TravelTech เพื่อสนับสนุนโซลูชันลดต้นทุน ลดการสูญเสียอาหาร และใช้พลังงานสะอาด

แกนที่หก คือ กฎหมาย มาตรฐาน และความยั่งยืน (Ease & Green) โดยเสนอระบบ One-Stop License สำหรับใบอนุญาตอาหาร ดนตรี ป้าย และสุรา ผ่านดิจิทัลเพื่อลดเวลาการดำเนินการจากหลายเดือนเหลือเพียงไม่กี่วัน พร้อมสนับสนุน Green Restaurant/Hotel Program ด้วยเงินอุดหนุน 30–40% สำหรับอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน ลดการใช้พลาสติก และจัดการขยะอาหาร นอกจากนี้ยังเสนอให้ปรับปรุงผังเมืองและกฎระเบียบสถานที่ เพื่อส่งเสริมโซนอาหารกลางคืนที่ปลอดภัย มีมาตรฐานด้านเสียงและสุขอนามัย