โภชนาการไทยก้าวหน้า 3 องค์กรใหญ่ผนึกกำลังปรับสูตรอาหารเพื่อสุขภาพ

15 ก.ย. 2568 | 08:49 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ก.ย. 2568 | 09:08 น.

3 องค์กรใหญ่ผนึกกำลัง เปิดเวทีปฏิรูปสูตรอาหารด้วยวิทยาศาสตร์ ยกระดับโภชนาการที่ดีกว่าให้คนไทย เพื่อลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

KEY

POINTS

  • 3 องค์กรหลักด้านอาหาร ได้แก่ สมาคมอุตสาหกรรมอาหารแห่งเอเชีย (FIA), สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย (FoSTAT) ร่วมมือกันผลักดันการปรับสูตรอาหารเพื่อสุขภาพคนไทย
  • เป้าหมายหลักคือการลดความเสี่ยงจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน และโรคหัวใจ ที่เกิดจากการบริโภคอาหารรสหวาน มัน และเค็มจัด
  • ความท้าทายสำคัญคือความเคยชินในรสชาติของผู้บริโภค โดยมุ่งเน้นการลดปริมาณโซเดียมและน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ โดยยังคงรสชาติที่ดีไว้
  • ผลสำรวจชี้ว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่มีทัศนคติที่ดีต่อการปรับสูตรอาหาร และยินดีจ่ายเพิ่มหากรสชาติยังคงเดิม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายด้านโภชนาการ

สมาคมอุตสาหกรรมอาหารแห่งเอเชีย (Food Industry Asia: FIA) ร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และ สมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย (FoSTAT) จัดงานประชุมเชิงวิชาการในหัวข้อ “SCIENCE IN ACTION – Reformulating Thailand’s Food Future”

โดยมีกลุ่มผู้กำหนดนโยบาย หน่วยงานกำกับดูแล นักวิชาการ และผู้นำอุตสาหกรรมอาหาร เข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมากเพื่อมาร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ แบ่งปันแนวทางปฏิบัติงาน และกำหนดทิศทางความร่วมมือด้านการปรับสูตรอาหารสู่การสร้างเสริมสุขภาพที่ดีขึ้นของผู้บริโภคชาวไทย

ดร.เจริญ แก้วสุกใส ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เวทีครั้งนี้เน้นย้ำการใช้วิทยาศาสตร์เป็นฐานข้อมูลในการยกระดับสุขภาวะของผู้บริโภค ท่ามกลางความท้าทายของสังคมไทยที่กำลังเผชิญจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิต และโรคหัวใจ ซึ่งเชื่อมโยงกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารรสหวาน มัน และเค็มเกินความต้องการ การปรับสูตรอาหารจึงถูกพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของการป้องกันโรคร้ายเหล่านี้ พร้อมตีโจทย์ความท้าทายในการปรับสูตรอาหารระดับอุตสาหกรรม

ความท้าทายของการปรับสูตรอาหารในตลาดไทยอยู่ที่ความเคยชินของผู้บริโภคที่มีต่อรสชาติแบบเดิม ๆ โดยให้ความสำคัญในการลดโซเดียมซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในการรับรู้ความอร่อยของอาหารส่วนมาก นอกจากนี้ ยังต้องอาศัยการสื่อสารบนบรรจุภัณฑ์เพื่อให้เกิดยอมรับของตลาด ตัวอย่าง การใช้คำอธิบายที่กระตุ้นประสาทสัมผัสแทนคำว่า “ลดเกลือ” ซึ่งสามารถเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ได้มากขึ้น

คำแนะนำทางโภชนาการระบุว่า ใน 1 วัน เราไม่ควรบริโภคโซเดียมเกิน 2,000 มิลลิกรัม (เปรียบเทียบเท่ากับเกลือ 1 ช้อนชา หรือน้ำปลา 4 ช้อนชา) ทำให้เกิดความท้าทายในการคิดสูตรอาหารใหม่

โภชนาการไทยก้าวหน้า 3 องค์กรใหญ่ผนึกกำลังปรับสูตรอาหารเพื่อสุขภาพ

โดยมีการตั้งเป้าหมายว่าอาหารสูตรปลอดโซเดียม (Sodium Free) จะต้องมีโซเดียมน้อยกว่า 5 กรัม และสูตรโซเดียมต่ำจะต้องมีโซเดียมน้อยกว่า 140 กรัม ร่วมกับการใช้สารทดแทนที่ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เพื่อรักษารสชาติอาหารให้ยังคงความอร่อย แต่ดีต่อสุขภาพมากกว่าเดิม

“การปรับสูตรอาหารเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ซับซ้อน แต่จำเป็นที่สุดในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพแก่ผู้บริโภค และในขณะเดียวกันยังสนับสนุนระบบอาหารที่ยั่งยืนและเข้มแข็ง การดำเนินการนี้ต้องอาศัยความสอดคล้องระหว่างหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ กฎระเบียบที่ชัดเจน และต้องสอดคล้องกับความคาดหวังของผู้บริโภค

เมื่อบรรลุสมดุลดังกล่าว การปรับสูตรอาหารจะกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้งานได้จริงทั้งต่อภาครัฐและอุตสาหกรรมในการยกระดับด้านโภชนาการ โดยไม่สูญเสียความเชื่อมั่นและคุณภาพของผลิตภัณฑ์” 

ภายในงาน ยังได้รับเกียรติจาก พญ.วิสารัตน์ ธีระโกเมน รองผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเน้นย้ำถึงปัญหาสุขภาพและโภชนาการของไทยที่ทวีความรุนแรงขึ้น รวมถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการแบบบูรณาการ ตลอดจนแสดงความเห็นพ้องว่าการปรับสูตรอาหารเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญในการลดการบริโภคน้ำตาลและโซเดียมที่มากเกินไป

นอกจากนี้ ศ.ดร.ซามูเอล ก็อดฟรอยด์ แห่งมหาวิทยาลัยลาวาล ประเทศแคนาดา ยังกล่าวเสริมถึงความสำคัญของการผสานการประเมินความเสี่ยงที่รัดกุมเข้าสู่นโยบายการปรับสูตร โดยชี้ว่าความโปร่งใสและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นทั้งต่อภาครัฐและผู้บริโภค

โภชนาการไทยก้าวหน้า 3 องค์กรใหญ่ผนึกกำลังปรับสูตรอาหารเพื่อสุขภาพ

นอกจากข้อกังวลในเรื่องโซเดียม อาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูงก็ถือเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงในงาน โดย ดร.กชพร มนูญผล รองผู้อำนวยการกองอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจจากการศึกษาผู้บริโภคในกลุ่มประเทศอาเซียนของ FIA ซึ่งระบุว่า ผู้บริโภคกำลังลดการบริโภคน้ำตาลลงถึง 81% และลดการบริโภคโซเดียมลง 78%

อีกทั้ง 94% มีทัศนคติเป็นกลางหรือเชิงบวกต่อการปรับสูตรอาหาร และที่สำคัญ 82% ระบุว่ายินดีจ่ายเพิ่ม หากรสชาติยังคงคุณภาพเดิม ผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าความยอมรับของผู้บริโภคคือปัจจัยสำคัญในการกำหนดนโยบายโภชนาการที่มีประสิทธิผล

โภชนาการไทยก้าวหน้า 3 องค์กรใหญ่ผนึกกำลังปรับสูตรอาหารเพื่อสุขภาพ

ดร.คม กมลพัฒนะ จาก FoSTAT เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารในการผลักดันการปรับสูตรอาหารอย่างยั่งยืน โดยชี้ว่าความเข้าใจโครงสร้างของอาหาร (Food Matrix) การใช้วัตถุดิบทางเลือกเพื่อรักษารสชาติและคุณสมบัติการใช้งาน ตลอดจนการสร้างความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรม คือหัวใจของนวัตกรรมด้านอาหารเพื่อสุขภาพ 

ด้านนายแมตต์ โควัค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FIA กล่าวว่า “เรารู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่งต่อการสนับสนุนจากพันธมิตรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน การเสวนาในครั้งนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงการบูรณาการระหว่างวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม และความร่วมมือ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการยกระดับโภชนาการของผู้บริโภคในประเทศ FIA ยังคงมุ่งมั่นที่จะทำงานเคียงข้างกับทุกภาคส่วนในประเทศไทย เพื่อสร้างศักยภาพและพัฒนาระบบอาหารที่มีสุขภาวะและยั่งยืนสำหรับอนาคต”

การประชุม “SCIENCE IN ACTION – Reformulating Thailand’s Food Future” ปิดท้ายด้วยการเสวนาระหว่างผู้แทนจากภาครัฐ นักวิชาการ และอุตสาหกรรม ซึ่งสะท้อนภาพความร่วมมือแบบพหุภาคีในการบูรณาการเป้าหมายด้านสุขภาพเข้ากับนวัตกรรมที่รับผิดชอบ เพื่อขับเคลื่อนระบบอาหารไทยให้แข็งแกร่งและยั่งยืน เน้นย้ำว่า “สุขภาพดี เริ่มต้นจากอาหารที่ดีกว่า”