อันตราย 'ความดันโลหิตสูง' ร้ายกว่าที่คิด คร่าชีวิตเราได้

18 พ.ค. 2568 | 07:30 น.

อายุรแพทย์โรคหัวใจเตือน! ความดันโลหิตสูงคือ "ฆาตกรเงียบ" ทำลายอวัยวะสำคัญ พบคนไทยเสี่ยงมากขึ้นแม้อายุแค่ 35 ปี เผยวิธีป้องกันและรักษาก่อนสายเกินแก้

วันที่ 17 พฤษภาคมของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็นวันความดันโลหิตสูงโลก (World Hypertension Day) ซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อยในคนไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจออกมาเตือนคนไทยให้ระวังภัยเงียบที่กำลังคุกคามสุขภาพ โดยเฉพาะในยุคที่คนรุ่นใหม่มีความเสี่ยงสูงขึ้นจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป

แพทย์หญิงทรายด้า บูรณสิน อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลเวชธานี เปิดเผยว่า ความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่อันตรายกว่าที่หลายคนคิด เพราะมักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้จนกระทั่งเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

"เราเรียกความดันโลหิตสูงว่าเป็น 'ฆาตกรเงียบ' เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ แต่โรคนี้กำลังทำลายอวัยวะสำคัญในร่างกายอย่างต่อเนื่อง ทั้งหัวใจ สมอง และไต" แพทย์หญิงทรายด้ากล่าว

อันตราย 'ความดันโลหิตสูง'  ร้ายกว่าที่คิด คร่าชีวิตเราได้

เลขสองตัวที่คุณต้องรู้

เมื่อวัดความดันโลหิต เครื่องวัดจะแสดงผลเป็นตัวเลข 2 ค่า ได้แก่:

  • ความดันตัวบน (Systolic Blood Pressure): ค่าที่ได้ขณะหัวใจบีบตัวส่งเลือดไปยังร่างกาย
  • ความดันตัวล่าง (Diastolic Blood Pressure): ค่าที่ได้ขณะหัวใจคลายตัวระหว่างการเต้นแต่ละครั้ง

โดยทั่วไป หากค่าความดันโลหิตอยู่ที่ 140/90 มิลลิเมตรปรอท หรือสูงกว่านี้อย่างต่อเนื่อง ถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง

ใครบ้างที่เสี่ยง?

สาเหตุของความดันโลหิตสูงมีทั้งปัจจัยที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่:

  • ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคความดันโลหิตสูง
  • ผู้ที่มีอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่ชอบรับประทานอาหารเค็มจัด
  • ผู้ที่รับประทานอาหารไขมันสูง
  • ผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย
  • ผู้ที่มีความเครียดสะสม
  • ผู้ที่สูบบุหรี่
  • ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
  • ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน
  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน

อันตรายที่ซ่อนอยู่

"แม้ว่าความดันโลหิตสูงอาจไม่แสดงอาการชัดเจน แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา จะทำให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะสำคัญ" แพทย์หญิงทรายด้า เน้นย้ำ

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่:

  • โรคหัวใจขาดเลือด
  • ภาวะหัวใจล้มเหลว
  • เส้นเลือดในสมองแตกหรืออุดตัน นำไปสู่อัมพฤกษ์หรืออัมพาต
  • โรคไตเรื้อรัง

แพทย์หญิงทรายด้า บูรณสิน

การรักษาและป้องกัน

สำหรับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง การรักษาประกอบด้วย:

  1. การปรับพฤติกรรม เป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยแพทย์จะแนะนำให้:
    • ควบคุมอาหาร โดยเฉพาะลดการบริโภคเกลือและโซเดียม
    • เพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสี
    • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์
    • ลดความเครียด
    • เลิกสูบบุหรี่
    • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
    • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
  2. การใช้ยา หากการปรับพฤติกรรมไม่สามารถควบคุมความดันได้ แพทย์จะพิจารณาให้ยาลดความดันซึ่งต้องรับประทานอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ

"สิ่งสำคัญที่สุดคือการตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เพื่อตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและเริ่มการรักษาได้ทันท่วงที" แพทย์หญิงทรายด้ากล่าวทิ้งท้าย

ข้อควรระวัง

ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ได้รับยาแล้วไม่ควรหยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจทำให้ความดันกลับมาสูงและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนอย่างเฉียบพลัน นอกจากนี้ ควรพบแพทย์เพื่อติดตามผลเป็นระยะ เพื่อปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมกับการตอบสนองของร่างกาย

ด้วยการตระหนักรู้และเอาใจใส่สุขภาพ รวมถึงการตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เราห่างไกลจาก "ฆาตกรเงียบ" นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ