โรคหลอดเลือดหัวใจเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย สถิติล่าสุดพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้เพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานและผู้สูงอายุ สาเหตุสำคัญเกิดจากการตีบหรืออุดตันของหลอดเลือดแดงที่นำเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ส่งผลให้หัวใจขาดออกซิเจนและสารอาหาร จนอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวายเฉียบพลันและเสียชีวิตได้ในที่สุด
อันตรายของโรคนี้อยู่ที่ความเงียบ ผู้ป่วยจำนวนมากไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคจนกว่าจะมีอาการรุนแรง ทำให้การรักษาล่าช้าและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต การตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงและสัญญาณเตือน รวมถึงการตรวจสุขภาพเป็นประจำจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลต่อการเกิดโรค
• ภาวะความดันโลหิตสูง ทำให้หลอดเลือดเสียหายและเพิ่มโอกาสในการอุดตัน
• ไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะคอเลสเตอรอลชนิด LDL ที่สะสมในหลอดเลือด
• โรคเบาหวาน ที่ทำให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
• พฤติกรรมการใช้ชีวิต อาทิ การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ขาดการออกกำลังกาย สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
• ความเครียดสูง และ ประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ซึ่งเป็นปัจจัยที่หลีกเลี่ยงได้ยาก
ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวควรระมัดระวังและหมั่นสังเกตอาการผิดปกติ หากพบว่ามีอาการเข้าข่ายควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
1. เจ็บแน่นหน้าอก โดยเฉพาะขณะออกแรงหรือเครียด บางรายอาจมีอาการปวดร้าวไปที่แขน คอ หรือขากรรไกร
2. หายใจลำบาก เหนื่อยง่ายผิดปกติ แม้จะทำกิจกรรมเบาๆ
3. วิงเวียนศีรษะ ใจสั่น หรือเป็นลม โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
4. อาการของภาวะหัวใจวาย เช่น เจ็บหน้าอกรุนแรง เหงื่อออกมาก คลื่นไส้ และอ่อนแรง
หากพบอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะอาการเจ็บหน้าอกรุนแรงร่วมกับมีเหงื่อออกมากผิดปกติ ควรโทรเรียกรถพยาบาลหรือรีบไปโรงพยาบาลทันที เนื่องจากอาจเป็นภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ซึ่งต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
ผู้ที่สงสัยว่าอาจมีภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเร็ว ซึ่งแพทย์จะใช้วิธีการตรวจวินิจฉัยต่างๆ เช่น: การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) การทดสอบสมรรถภาพหัวใจ (Exercise stress test) การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (Echocardiography) การฉีดสีตรวจหลอดเลือดหัวใจ (Angiography)
แนวทางการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งมีหลายวิธี อาทิ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลดไขมันในอาหาร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เลิกสูบบุหรี่ และควบคุมความเครียด, การใช้ยา เช่น ยาลดไขมัน ยาต้านเกล็ดเลือด และยาขยายหลอดเลือด, หัตถการทางการแพทย์ อาทิ
การทำบอลลูนขยายหลอดเลือดและใส่ขดลวด (Stent) และ การผ่าตัด เช่น การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (Bypass Surgery) ในกรณีที่มีการตีบตันรุนแรงการเลือกวิธีการรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค สภาพร่างกายของผู้ป่วย และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แพทย์จะพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
แม้ว่าโรคหลอดเลือดหัวใจจะเป็นภาวะที่ร้ายแรง แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ดังนี้ การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนคุณภาพดี และลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง, ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์
ควบคุมน้ำหนัก และหลีกเลี่ยงภาวะอ้วน โดยเฉพาะการมีไขมันสะสมบริเวณหน้าท้อง, เลิกสูบบุหรี่และจำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจ และตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อติดตามปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิต ระดับน้ำตาล และไขมันในเลือด
รวมถึงการจัดการความเครียดก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากความเครียดสูงสามารถกระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ การหาวิธีผ่อนคลายที่เหมาะสม เช่น การฝึกสมาธิ โยคะ หรือการทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ จะช่วยลดความเสี่ยงได้อีกทางหนึ่ง
Tricks for Life หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,097 วันที่ 18 - 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2568