สยามเวลเนสกรุ๊ป ปักหมุด Wellness Destination พัทยา รับเมกะเทรนด์ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

22 พ.ย. 2568 | 03:15 น.
อัปเดตล่าสุด :22 พ.ย. 2568 | 03:21 น.

สยามเวลเนสกรุ๊ป หรือ SPA มุ่งเป้าก้าวสู่ธุรกิจเวลเนสเต็มรูปแบบ ทุ่ม 520 ล้านบาท ขยายอาณาจักร ยึดทำเลทองพัทยา ปักหมุดศูนย์สุขภาพครบวงจร Wellness Destination รวมศาสตร์ด้านสุขภาพที่ครบวงจรที่สุดในไทย ทั้งเดินหน้าขยาย Let’s Relax เพิ่มอีก 5 แห่งในสิ้นปีนี้

บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SPA จัดว่าเป็นเบอร์ 1 ธุรกิจสปา และเวลเนสของไทย และยังเป็นบริษัทสปาแห่งแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อ 11 ปีที่แล้ว ล่าสุดไม่เพียงขยายเครือข่ายธุรกิจมากถึง 82 สาขา โดยมีแบรนด์หลัก อย่าง Let’s Relax (เล็ทส์ รีแลกซ์)

ล่าสุด SPA ยังเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง รวมถึงพัฒนาโครงการศูนย์สุขภาพและพักผ่อนแบบครบวงจร (Wellness Destination) ที่พัทยา เพื่อก้าวเป็นผู้นำด้านธุรกิจ Wellness อย่างเต็มรูปแบบ “ณรัล วิวรรธนไกร” กรรมการบริหาร บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จะมาฉายภาพการขยายธุรกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น

เปิดอาณาจักรธุรกิจสปา และเวลเนส สยามเวลเนสกรุ๊ป

กว่า 26 ปีในการดำเนินธุรกิจสปาและเวลเนส ทำให้ปัจจุบันมีธุรกิจในเครือรวมกว่า 82 สาขา โดยมีแบรนด์หลัก อย่าง Let’s Relax (เล็ทส์ รีแลกซ์) ที่มีกว่า 61 สาขา เป็นแกนหลัก ครอบคลุม 10 เมืองท่องเที่ยวหลัก ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจสปาและเวลเนสของไทย

ณรัล วิวรรธนไกร

ที่ผ่านมาเราสั่งสมประสบการณ์ทำงานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ อาทิ การนำน้ำมันเมล็ดชา ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มโดยสมเด็จพระเทพฯ มาใช้เป็นส่วนผสมในน้ำมันนวดอโรม่า เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบและสนับสนุนชุมชน การใช้เสียงดนตรีที่มีจังหวะเท่ากับการเต้นของหัวใจ เสียงเพลงผ่านการทดสอบกับคลื่นสมองร่วมกับวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหิดล รู้สึกผ่อนคลาย ส่วนกลิ่นที่ใช้ก็เป็นน้ำมันหอมระเหย 100% แทนน้ำหอมเคมี เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งลูกค้าและพนักงาน

การผสานศาสตร์ตะวันออกและตะวันตก โดยเฉพาะการผสมผสานศาสตร์การแช่ออนเซ็นจากญี่ปุ่น ที่ได้รับการตอบรับจากตลาด เข้ากับศาสตร์การนวดและสมุนไพรไทย ซึ่งนอกจากการนวด Let’s Relax ยังริเริ่มการเปิดให้บริการออนเซ็น มาตั้งแต่ปี 2559

โดยมีสาขาแรกที่ทองหล่อ มีการนำเข้าผงน้ำแร่สกัดเข้มข้น (concentrate) จากเมืองเกโระ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็น 1 ใน 3 แหล่งน้ำแร่ที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งออนเซ็นที่เราเปิดให้บริการจะมีทั้งหมด 5 บ่อ เช่น บ่อน้ำแร่ บ่อโซดา และบ่อออกซิเจน การให้บริการจะเน้นการแช่แล้วนวด ได้รับการตอบรับที่ดี จากนั้นจึงมีการเปิดสปาออนเซ็น ที่พัทยา และลุมพินี

รวมถึงการมีโรงเรียนสอนนวดแผนไทยและสปาของตนเอง เพื่อพัฒนาบุคลากรให้ได้มาตรฐานเดียวกัน ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ และประสบการณ์จากลูกค้า ทำให้ SPS สามารถพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการให้บริการระดับสากล และคว้ารางวัล Gold Award จาก Thailand Tourism Award ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 ในสาขาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอีกด้วย

อาณาจักรธุรกิจสปาและเวลเนส สยามเวลเนส กรุ๊ป

ทิศทางการขยายธุรกิจของ SPA ปัจจุบันยังคงมุ่งเน้นการเติบโตในประเทศเป็นหลัก แม้ว่าผู้บริหารจะเชื่อว่า มีโอกาสทางธุรกิจสำหรับการขยายไปต่างประเทศก็ตาม เพราะยังพบว่าส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) ในประเทศยังมีช่องว่างให้เติบโตสูง

เพราะแม้ว่าบริษัทจะเป็นแบรนด์สปาอันดับ 1 ในไทย และมีจำนวนสาขามากที่สุด กว่า 80 สาขา แต่ส่วนแบ่งทางการตลาดโดยรวมในธุรกิจนวดและสปาในประเทศยังอยู่ที่ประมาณ 5% เท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดยังสามารถเติบโตและขยายตัวในประเทศได้อีกมาก

อีกทั้งธุรกิจสปาและการบริการเป็นงานที่ ค่อนข้างพิถีพิถันและละเอียดอ่อน บริษัทเชื่อว่าการควบคุมมาตรฐานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลาย จะรักษามาตรฐานที่เป็นจุดเด่นในการดำเนินธุรกิจอันเป็นเอกลักษณ์ของ SPA ได้เป็นอย่างดี

ดังนั้นทิศทางการขยายการลงทุนใหม่ ของบริษัท คือ มุ่งสู่ “Wellness Ecosystem” โดยมีเป้าหมายหลักคือการก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจ Wellness เต็มรูปแบบ โดยมีการขยายแบรนด์และบริการที่ครอบคลุมมากขึ้น

ลงทุน Wellness Destination พัทยา

ล่าสุดบริษัทอยู่ระหว่างการลงทุนโครงการศูนย์สุขภาพและพักผ่อนแบบครบวงจร (Wellness Destination) บนพื้นที่ 38 ไร่ ติดทะเลบริเวณนาจอมเทียน พัทยา จังหวัดชลบุรี ใช้งบลงทุน 520 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าที่ดิน 170 ล้านบาท (สัญญาเช่า 31 ปี 6 เดือน) และงบสำหรับการพัฒนาและก่อสร้างประมาณ 350 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการเต็มรูปแบบได้ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2570 ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญที่จะสร้าง New S-Curve ให้กับบริษัทฯ

โดยใช้ศักยภาพและประสบการณ์ครบทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารสปาและออนเซน อันดับหนึ่งของประเทศ การบริหารคลินิกกายภาพบำบัดและคลินิก Anti-Aging การบริหารโรงแรมระดับ 5 ดาว ร้านอาหารและคาเฟ่

ทั้งนี้เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและ Medical Tourism ที่กำลังเป็นเมกะเทรนด์ระดับโลก มาพัฒนาแนวคิดในโครงการนี้ ซึ่งถูกวางตำแหน่งให้เป็น Wellness Complex และเป็น “Accessible Wellness” (เวลเนสที่เข้าถึงได้ง่าย)

โครงการ Wellness Destination พัทยา

โดยจะรวมศาสตร์ด้านสุขภาพที่ครบวงจรที่สุดในไทย ที่ได้รับการออกแบบให้เป็นศูนย์สุขภาพแบบองค์รวมอย่างครบวงจร (Integrated Wellness Facilities) ผสมผสานศาสตร์การบำบัดทั้งแบบดั้งเดิมและสมัยใหม่เข้าไว้ด้วยกัน

ภายโครงการประกอบไปด้วย “Wellness Complex”  พื้นที่ประมาณ 4,000–5,000 ตารางเมตร ที่เปิดรับลูกค้าทุกคนที่ต้องการมาใช้บริการการดูแลสุขภาพแบบองค์กร ซึ่งในคอมเพล็กซ์นี้ จะมีทั้งบริการนวด, สปา, แพทย์แผนไทย, แพทย์แผนจีน (รวมถึงการฝังเข็ม), เวชศาสตร์ชะลอวัย Anti-Aging, กายภาพบำบัด, วารีบำบัด

รวมไปถึงออนเซ็นแบบ Indoor/Outdoor ที่เป็น Natural Onsen (ออนเซ็นในป่า) เนื่องจากพื้นที่ตั้งของโครงการนี้เป็นผืนป่าชายเลนสุดท้ายของภาคตะวันออก ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่บางต้นอายุถึง 400 ปี เหมาะสำหรับการบำบัดด้วยธรรมชาติ (การอาบป่า) และยังมีหน้าหาดยาวถึง 200 เมตร

ทั้งยัง “โรงแรม” ขนาด 50 กว่าห้อง เน้นการขายแบบแพ็กเกจ (Wellness Package) เช่น 3 วัน 2 คืน หรือ 8 วัน 7 คืน เพื่อต้องการการบำบัดอย่างจริงจัง และยังมีการจัด “กิจกรรม” คลาสสุขภาพที่หลากหลาย อาทิ โยคะ, พิลาทิส, การทำสมาธิ,กิจกรรม Farm to Table ศูนย์ออกกำลังกายระดับมาตรฐาน และบริการโภชนาการบำบัดที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมสุขภาพของลูกค้า 

สำหรับตลาดเป้าหมาย จะเน้นกลุ่มลูกค้าชาวไทย 50% และชาวต่างชาติ 50%. โดยเฉพาะกลุ่ม C-Level (กลุ่มผู้บริหารระดับสูงในองค์กร) ที่ต้องการการบำบัดความเครียด (Retreat) รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติจากเอเชีย (จีน, ฮ่องกง, สิงคโปร์) และยุโรปสำหรับกลุ่มลองสเตย์

ขยาย Let’s Relax เพิ่มอีก 5 แห่งสิ้นปีนี้

นอกจากนี้บริษัทยังจะเดินหน้าขยายธุรกิจสปาและออนเซ็น โดยในปีนี้ตั้งเป้าเปิด Let’s Relax  สาขาใหม่ 10 สาขา เปิดไปแล้ว 5 สาขา เหลือจะเปิดเพิ่มอีก 5 สาขาในช่วงที่เหลือของปีนี้ใช้งบลงทุนราว 250 ล้านบาท

ได้แก่ 1.การเปิดออนเซ็นสาขาที่ 4 ในโครงการโรงแรมแกรนด์เซนเตอร์พอยต์ ราชดำริ ที่จะเปิดให้บริการในวันที่ 1 ธันวาคมนี้ ลงทุนราว 100 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นออนเซ็นที่ใหญ่กว่าสาขาอื่น ๆ โดยมีพื้นที่ประมาณ 2,000 กว่าตารางเมตร 2.สาขาที่ เซ็นทรัล พาร์ค ในเดือนพฤศจิกายนนี้ 3.สาขาที่บ้านสีลม 4.King Square (ตรงข้าม Kings College) และ 5.โรงแรมเอเชีย (รับบริหารสปา)

อีกทั้งในปี 2569 มีประการลงนามสัญญาเพื่อเปิดสาขาใหม่แล้ว 2-3 แห่ง เช่น บริเวณสุขุมวิท/พร้อมพงษ์ และถนนเลียบด่วนรามอินทรา

ขณะเดียวกันบริษัทยังขยายการลงทุนธุรกิจต่างๆในเครือ อาทิ การเปิดให้บริการ Stretch Me Clinic ซึ่งดำเนินธุรกิจกายภาพบำบัด ที่เพลินจิตเมื่อประมาณ 3 เดือนที่ผ่านมา ลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อนำเข้าเครื่อง EIS ที่ใช้ตรวจหาความสึกหรอของเซลล์ในร่างกาย เป็นต้น

สำหรับผลประกอบการของ SPA ในปีที่ผ่านมามีรายได้อยู่ที่ 1,670 ล้านบาท กำไร 309 ล้านบาท สำหรับนี้ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ท้าทายเนื่องจากได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงถึง 35% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่บริษัทได้ใช้กลยุทธ์การขยายตลาดอื่น ๆ เข้ามาชดเชย เช่น ตลาดตะวันออกกลาง,ญี่ปุ่น, ฮ่องกง และไต้หวัน

เวลเนสเป็นเสน่ห์ของประเทศไทยที่ยังไม่ค่อยมีคู่แข่งในภูมิภาคนี้เท่าไหร่ และนวดไทยยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้จากยูเนสโก และหลังโควิด คนมองเรื่องการป้องกันมากกว่าการรักษา ก็ทำให้ธุรกิจด้านนี้ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี

หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,149 วันที่ 16 - 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568