ททท.สู้ศึกคู่แข่ง เปิดเกมรุกดันสินค้าท่องเที่ยวคุณภาพ ปั้มรายได้ 5.8 แสนล้าน

13 พ.ย. 2568 | 02:25 น.
อัปเดตล่าสุด :13 พ.ย. 2568 | 04:31 น.

ททท.เดินเกมสู้ศึกคู่แข่ง เปิดเกมรุกชูธงสินค้าท่องเที่ยวคุณภาพ เฮลท์-อัลตร้า ลักชัวรี-ยั่งยืน ดึงกลุ่มใช้จ่ายสูง ผุดบิ๊กอีเว้นท์ ดันรายได้ต่างชาติเที่ยวไทย 5.8 แสนล้าน

การขับเคลื่อนท่องเที่ยวของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภายใต้นโยบายของ “อรรถกร ศิริลัทธยากร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในช่วง 4 เดือนนี้ (ต.ค.68-ม.ค.69) ที่ตั้งเป้าให้ททท.ผลักดันต่างชาติเที่ยวไทย 12 ล้านคน สร้างรายได้ 5.8 แสนล้านบาท

ถือเป็นเป้าหมายท้าทาย เมื่อนักท่องเที่ยวกระแสหลัก อย่าง จีนลดลง การดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง จึงเป็นกลยุทธสำคัญ ททท.จึงโฟกัสการนำเสนอ “สินค้าคุณภาพสูง” เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายท่องเที่ยว “ณัฐ ครุฑสูตร” รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยวททท.คนใหม่ มีคำตอบ

ชูวิจิตรเจ้าพระยา-เคาท์ดาวน์พะเยา-สุไหงโกลก ดันไฮซีซัน

ไฮไลท์กระตุ้นท่องเที่ยวช่วงไฮซีซันนี้ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ทันที คือ การจัดกิจกรรมท่องเที่ยวในแบบบิ๊กอีเว้นท์ ซึ่งยังคงจัดกิจกรรมตามแผนที่ททท.วางไว้ เพียงแต่ปรับรูปแบบงานให้เหมาะสม เพื่อรำลึกและเทิดพระเกียรติสมเด็จพระพันปีหลวง อาทิ “วิจิตรเจ้าพระยา 2025” ระหว่างวันที่ 9 พ.ย.-23 ธ.ค.นี้ ที่ปรับเปลี่ยนจากการจุดพลุ มาจัดแสดงโดรน

ในขณะนี้ผู้ประกอบการเรือ และโรงแรมริมน้ำเจ้าพระยา ได้รับการตอบรับการจองล่วงหน้าจากนักท่องเที่ยวแล้วเป็นจำนวนมาก บางแห่งเรือถูกจองเต็มล่วงหน้าแล้ว คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวร่วมงานไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านคน สร้างรายได้หมุนเวียนไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท

งานอะเมซิ่ง ไทยแลนด์ มาราธอน 2025 วันที่ 30 พ.ย.นี้ โดยงานนี้การลงทุนหลักจะเป็นภาคเอกชน ลงทุนกว่า 60 ล้านบาท ททท.สนับสนุนงบ 12 ล้านบาท คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันไม่น้อยกว่า 3.6 หมื่นคน สร้างเงินหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 894 ล้านบาท

ณัฐ ครุฑสูตร

ขณะที่งานอะเมซิ่ง ไทยแลนด์ เคาท์ดาวน์ 2026 ซึ่งปีนี้ททท.จะจัดกิจกรรมใน 2 พื้นที่ ได้แก่ 1.กว๊านพะเยา จ.พะเยา ใช้งบลงทุนรวม 25 ล้านบาท คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมราว 5 หมื่นคน และ 2.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส เพื่อส่งเสริมบรรยากาศการท่องเที่ยวใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพื้นที่รอยต่อ ในการดึงนักท่องเที่ยวมาเลเซีย เดินทางมาเที่ยวไทย

รวมถึงการสนับสนุนการจัดงานเคาท์ดาวน์ในหลายพื้นที่ทั่วไทย อาทิ ไอคอนสยาม เซ็นทรัลเวิล์ด วันแบงค็อก กรุงเทพฯ หาดใหญ่ เป็นต้น เพื่อตอกย้ำการเป็นโกลเบิ้ล เคาท์ดาวน์ เดสติเนชั่น

ชู “เฮลท์-อัลตร้า ลักชัวรี-ยั่งยืน” ดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวใช้จ่ายสูง

ขณะเดียวกันททท.ยังเน้นดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีกำลังซื้อสูง เพื่อให้สอดรับกับยุทธศาสตร์การส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งมุ่งสร้างมูลค่ามากกว่าการเน้นจำนวนนักท่องเที่ยว โดยจะโฟกัสสินค้าท่องเที่ยวคุณภาพสูง ใน 3 สินค้าหลัก ได้แก่

1. การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health & Wellness Tourism) สินค้ากลุ่มเฮลท์แอนด์เวลเนส ซึ่งรวมถึงการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) เป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง โดยตั้งแต่เดือนม.ค.-มิ.ย.นี้ มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 6.2 หมื่นล้านบาท และคาดว่าตลอดทั้งปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาท จากก่อนโควิดที่มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 1.4-1.5 แสนล้านบาท

ทั้งนี้หลังเกิดโควิดจะเห็นว่าคนมีความต้องการเช็คสุขภาพ และเน้นการป้องกัน การใช้สเต็มเซลล์ในการรักษาเพิ่มขึ้น ซึ่งประเทศเทศไทยมีจุดแข็งในด้านนี้ โดยมีสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานระดับโลก ที่ได้รับการรับรองจาก JCI (Joint Commission International) ของสหรัฐอเมริกา มากถึง 61 แห่ง ทั้งในกรุงเทพ และเมืองท่องเที่ยวอย่าง ภูเก็ต เชียงใหม่ มีผู้ให้บริการด้านสุขภาพกว่า 500 แห่ง

ไม่ว่าจะเป็นคลีนิก หรือ โรงพยาบาลที่พร้อมรองรับนักท่องเที่ยว ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ซึ่งก็จะเห็นคนลาวที่มีฐานะ เข้ามารักษาและใช้บริการด้านสุขภาพในอุดรธานี และการรักษาในประเทศไทยยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากถึง 30-70% เมื่อเทียบกับประเทศตะวันตก และถูกกว่าสิงคโปร์ถึง 30-50%

การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

นอกจากนี้จากการสำรวจพฤติกรรมตลาด Health & Wellness ของททท.ในปี 2567 ยังพบว่า ตลาดนี้มีวันพักเฉลี่ย 13.13 คืน มีค่าใช้จ่ายต่อทริป 94,010 บาท และในอนาคตยังพบว่ากลุ่มผู้สูงวัย (Senior) เดินทางเข้ามาพำนักในไทยระยะยาว โดยมีโรงแรมและรีสอร์ทเพื่อสุขภาพที่มีคลินิกในตัวเพิ่มมากขึ้น ททท.จึงนำเสนอโปรดักส์จะเน้นเรื่องการป้องกัน (Preventive) การฟื้นฟู และการใช้ชีวิตหลังการรักษา รวมถึงการรองรับกลุ่มผู้สูงวัย

เฮลธ์แอนด์เวลเนส

2. การนำเสนอโปรดักซ์ที่เน้นประสบการณ์อัลตร้าลักชัวรี (Ultra Luxury) ปีนี้ ททท. เน้นทำตลาดอัลตร้าลักชัวรีเป็นพิเศษ หลังจากประสบความสำเร็จในการทำตลาดพูลวิลล่าส่วนตัวสำหรับกลุ่มตะวันออกกลางไปแล้ว สินค้าหรูที่เปิดตัวล่าสุดและได้รับการตอบรับดี คือ การบริการการขนส่งและทัวร์สุดพิเศษ เช่น การนำรถคลาสสิกไปรับนักท่องเที่ยว เพื่อนำเสนอวันเดย์ทริปสุดหรูในกรุงเทพฯ เช่น การไปรับประทานอาหารสำรับไทยสูตรพระองค์โสม และดินเนอร์ไฟน์ไดนิ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งราคาทัวร์สำหรับไฮเอนด์ดังกล่าวเริ่มต้นที่ 1.5 แสนบาทต่อคน กลุ่มเป้าหมายหลักคือ ตะวันออกกลาง อเมริกา และเอเชียที่เริ่มให้ความสนใจ

วิจิตรเจ้าพระยา 2568

3. การท่องเที่ยวยั่งยืน (Sustainability) เนื่องจากเทรนด์นักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ต้องการความยั่งยืนเป็นสำคัญ ททท.กำหนดเป้าหมายและทิศทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้มีการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

โดยมุ่งเน้นการส่งมอบคุณค่าและประสบการณ์การเดินทางที่มีคุณภาพแก่นักท่องเที่ยว ควบคู่กับการยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรม สู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism) อันจะนำไปสู่การยกระดับศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย และการบรรลุเป้าหมายการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism Goals: STGs)

ททท. ยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้ก้าวสู่ความยั่งยืน ผ่าน 3 โครงการหลัก ได้แก่ โครงการยกระดับผู้ประกอบการสู่การท่องเที่ยวยั่งยืน หรือ STAR (Sustainable Tourism Acceleration Rating) ซึ่งมีจำนวนโรงแรมที่เข้าร่วมโครงการ 1,251 แห่ง, โครงการ CF-Hotels มีจำนวนโรงแรมที่เข้าร่วมโครงการ 725 แห่ง

โครงการประกวดรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย (Thailand Tourism Awards) หรือ “รางวัลกินรี” ซึ่งในการประกวดฯ ครั้งที่ 14 มีผู้ได้รับรางวัลจำนวน 254 รางวัล เพื่อมอบให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมครบทุกมิติ ทั้งด้านสินค้าและการบริการ ด้านการบริหารจัดการธุรกิจ ด้านการบริหารจัดการการท่องเที่ยวยั่งยืนและมีความรับผิดชอบและด้านการเป็นองค์กรสนับสนุนและส่งเสริมการท่องเที่ยวยั่งยืน

นอกจากนี้ททท. ยังเน้นการสร้างคุณค่าและประสบการณ์ใหม่ๆ แทนการขายการท่องเที่ยวราคาถูก โดยกำลังผลักดันให้นักท่องเที่ยวเกิดความเชื่อมั่นและความปลอดภัยในการเดินทางมาเที่ยวไทย ภายใต้โครงการ “Trusted Thailand” โดยเริ่มทำกับผู้ประกอบการโรงแรมและบริษัทนำเที่ยว การเชื่อมโยงเกษตรออร์แกนิก โดยยกระดับการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับเกษตรอินทรีย์ เช่น การท่องเที่ยวสวนผลไม้ภาคตะวันออก (ทุเรียน) การท่องเที่ยวสวนผลไม้ในแต่ละภาค

การนำเสนอสินค้าเกษตรไอจี เพื่อช่วยเกษตรกรที่ไม่ต้องพึ่งพึงแต่พ่อค้าคนกลาง การนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวโครงการหลวงและโครงการพระราชดำริ การผลักดันต้นแบบเมืองยั่งยืน โดยจังหวัดกระบี่ถูกยกให้เป็นต้นแบบเมืองยั่งยืน ซึ่งจะมีการขยายโมเดลนี้ไปยังภูมิภาคต่างๆ

รวมไปถึงพัฒนาประสบการณ์ท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ที่เป็นจุดแข็งของไทย อาทิ การสร้างสรรค์ประสบการณ์เฉพาะบุคคล (Customized Experiences) เช่น การเรียนมวยไทยและการร่วมพิธีไหว้ครู หรือการทำสุราพื้นบ้านในตลาดทวีปยุโรป

“ต้องยอมรับว่าการท่องเที่ยวทุกวันนี้มีการแข่งขันสูง ถ้าเราไม่มีการลงทุนใหม่ เราอยู่สภาพเดิม แต่เพื่อนบ้านลงทุน และสร้างรูปแบบการท่องเที่ยวต่างกว่าเดิม จะทำให้เราเสียเปรียบการแข่งขัน ไทยก็ต้องขายประสบการณ์ใหม่ๆที่เขาไม่มี เราไม่ได้ขายท่องเที่ยวถูก แต่เน้นขายประสบการณ์"

สินค้าไฮไลท์ของไทย อย่าง ธรรมชาติ วัฒนธรรม อาร์ทแอนด์คราฟ การท่องเที่ยวชุมชน อาหาร ลักชัวรี ทัวริสซึม เฮลท์ การท่องเที่ยวเชิงกีฬา ซึ่งในแต่ละประเภทสินค้า เราต้องสร้างสรรค์ประสบการณ์ให้ตอบโจทย์ในการดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพมากขึ้น อาทิ การวิ่งเทรล ก็จะเพิ่มวันพักค้างของนักท่องเที่ยวได้เป็นสัปดาห์เพราะต้องมาซ้อม แตกจากวิ่งมาราธอนที่จะอยู่ราว 4 วัน

อย่างไรก็ตามแม้รัฐบาลจะยังไม่มีการลงทุนเรื่องสิ่งดึงดูดที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made) แต่ก็สนับสนุนการลงทุน Man-made ใหม่ๆเช่น สวนน้ำในภูเก็ต พัทยา และศูนย์การค้าลักชัวรีใหม่ เช่น วันแบงคอก ก็มีส่วนในการตอบโจทย์กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต้องการซื้อสินค้าแบรนด์เนม ททท.จึงจะเน้นนำเสนอโปรดักซ์ต่างๆเหล่านี้ ในการรุกดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงเข้าไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,148 วันที่ 13 - 15 wฤศจิกายน พ.ศ. 2568