ออนเซ็นแอทม่อนแจ่ม แม้จะเป็นเพียงรีสอร์ทเล็กเพียง 24 ห้อง ใน ต.โป่งแยง จ.เชียงใหม่ แต่ด้วยความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อันมีจุดขายความเป็น “เรียวกัง” และ “น้ำแร่” ธรรมชาติ ทำให้ที่นี่กลายเป็นรีสอร์ตที่มีจุดขายแห่งเดียวและแห่งแรกในไทย ที่ได้รับความนิยมมากสำหรับสายสุขภาพ และคนชอบออนเซ็น การพัฒนาที่เกิดขึ้นมีเส้นทางอย่างไร และจะมีการพัฒนาต่ออย่างไร เพื่อให้กลายเป็นเวลเนส เดสติเนชั่น อย่างครบวงจร “วัฒนา แก้มมะโม” ผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมออนเซ็นแอทม่อนแจ่ม จะถอดรหัสความเป็นมาและจุดขายในเรื่องนี้
จุดเริ่มต้นของ ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม (Onsen @ Moncham) เกิดจาก ทางเจ้าของ “วิสาขา ภูมิรัตน” และ “จักริน บันทัดทอง” ซึ่งเป็นคนกรุงเทพฯ มีความคิดว่าอยากมีบ้านพักตากอากาศที่เชียงใหม่ จึงมาเจอที่ดินแห่งนี้ บนพื้นที่ราว 8 ไร่ ในต.โป่งแยง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ซึ่งอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 1,200 เมตร อากาศดีตลอดทั้งปี (อุณหภูมิเฉลี่ย 23-24 องศา)
ทั้งเมื่อสำรวจจึงพบว่าในพื้นที่นี้น้ำแร่ธรรมชาติอยู่ใต้ดิน จึงเกิดแนวคิดที่จะทำบ้านสไตล์ญี่ปุ่น หรือ เรียวกัง พัฒนาเป็นรีสอร์ทแบบญี่ปุ่นที่มีออนเซ็นในตัว มีเตียงฟุตง มีชุดยูกะตะ มีบริการไคเซกิ มีน้ำแร่ออนเซ็นในห้องพัก รวมถึงน้ำดื่มในรีสอร์ททั้งหมดก็เป็นน้ำแร่
การออกแบบของที่นี่ ทางเจ้าของได้ให้อาจารย์กฤษฎา โรจนกร ศิลปินแห่งชาติ ช่วยคิดคอนเซ็ปต์ในการออกแบบการสร้าง โดยมีแรงบันดาลใจจากปราสาท คัทสึระ อิมพีเรียล เมืองเกียวโตของประเทศญี่ปุ่น ที่มีความเรียบง่ายและธรรมชาติมากที่สุด
ทำให้เรียวกัง ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม มีโครงสร้างกึ่งปราสาท ทำจากไม้เพื่อให้มีความแข็งแรงและเรียบง่าย และมีการจัดสวนสไตล์ญี่ปุ่น ทำให้บรรยากาศที่นี่เหมือนอยู่ในเรียวกัง ประเทศญี่ปุ่น และเป็นที่พักซึ่งได้รับการตอบรับเบอร์ต้นๆ ในคำค้นหา รีสอร์ตออนเซ็นในเชียงใหม่
ออนเซ็นแอทม่อนแจ่ม เริ่มต้นธุรกิจด้วยห้องพักเรียวกัง 16 ห้อง ในเฟสแรก ต่อมาในช่วงโควิด-19 เมื่อการท่องเที่ยวต่างประเทศถูกจำกัด ประกอบกับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศญี่ปุ่น แต่ไม่สามารถไปได้ ก็เลือกมาพักที่นี่ จนต้องจองกันข้ามปี ทางเจ้าของจึงขยายห้องพักเพิ่มเป็น 24 ห้อง เพื่อรองรับดีมานต์ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งตอนโควิดธุรกิจโรงแรมที่อื่นอาจไม่ดี แต่ที่นี่ดีมาก
ปัจจุบันได้ให้ทางบริษัท Rasa Hospitality Management & Development เข้ามาบริหารโรงแรมให้ ซึ่งช่วงเริ่มต้นมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 27% ปัจจุบันในปีที่ผ่านมา อัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มมาเป็น 61% ไม่รวมช่วงฤดูการท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) ซึ่งจะเห็นอัตราการเข้าพักเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด
สมัยก่อนโควิดรีสอร์ทมีลูกค้าคนไทย 90% แต่ปัจจุบันปีที่แล้วทั้งปีอยู่ที่ 60% เป็นคนไทย และอีก 40% เป็นชาวต่างชาติ โดย 5 สัญชาติหลักคือ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ จีน และมาเลเซีย โดยนักท่องเที่ยวสิงคโปร์และมาเลเซียจะมาบ่อย เพราะไม่ต้องบินไกล และบ้านเขาเป็นเขตร้อน ไม่มีอากาศเย็น จึงชอบมาสัมผัสอากาศเย็นที่นี่
ส่วนผลการดำเนินงานตั้งแต่ช่วงไฮซีซันปีนี้ ก็เป็นไปได้ดีมาก โดยเฉพาะในเดือนธันวาคมและมกราคมที่ผ่านมามีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยสูงถึง 92% ถือเป็นเดือนที่สูงที่สุดตั้งแต่เปิดมา ซึ่ง ระดับราคาห้องพักของที่นี่จะแบ่งตามฤดูกาล โดยช่วง High Season (ตุลาคม-กุมภาพันธ์) ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 10,000-12,000 บาทต่อคืน
ส่วนช่วง Green Season (มิถุนายน-กันยายน) ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 7,000 บาทต่อคืน และช่วง Low Season ที่เป็นช่วงฝุ่น PM 2.5 (มีนาคม-พฤษภาคม) ราคาจะลดลงเหลือประมาณ 5,000 บาทต่อคืน ดังนั้นอัตราราคาห้องพักเฉลี่ยต่อห้อง “ADR (Average Daily Rate)” ปีนี้น่าจะเพิ่มเป็นประมาณ 8,000 บาทต่อคืน จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 7,000 บาทต่อคืน
การที่ออนเซ็นแอทม่อนแจ่มได้รับการตอบรับจากตลาดที่ดี จุดเด่น คือ การเป็นเรียวกังที่ใช้น้ำแร่ธรรมชาติ 100% ไม่มีการปรุงแต่ง ทั้งสำหรับอาบและบริโภค โดยเรามีผลวิจัย ยืนยันว่าน้ำแร่ที่นี่มีแร่ธาตุครบถ้วนทั้งแมกนีเซียม คอปเปอร์ เหล็ก แคลเซียม
ขณะเดียวกันในบ่อออนเซ็นของที่นี่ ยังมีการปรับอุณหภูมิของบ่อออนเซนให้เหมาะสมกับฤดูกาลได้ด้วย ช่วงหน้าร้อน ก็สามารถปรับให้น้ำอุณหภูมิปกติ หรือปรับระดับความร้อนได้ ส่วนช่วงหนาวจะเน้นบ่อร้อน เพื่อให้ได้สัมผัสประสบการณ์แบบญี่ปุ่นแท้ๆ
อีกจุดเด่นของที่นี่ คือ การให้บริการ ซึ่งที่นี่มีพนักงาน 62 คน ซึ่งถือว่ามากสำหรับโรงแรมขนาด 24 ห้อง หรือประมาณ 3 คนต่อห้อง โดยส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ เป็นพี่น้องชาติพันธุ์ เราฝึกพนักงานให้มีบริการที่ดี ใส่ใจในการบริการตามมาตรฐาน มีธรรมชาติในการให้บริการที่มีความยิ้มแย้ม พูดคุยได้อย่างเป็นกันเอง ก็ทำให้โรงแรมให้บริการได้ดี
สะท้อนผ่านการรีวิวในแต่ละแพลตฟอร์มตัวแทนการจองออนไลน์ (โอทีเอ) ที่สูงสุดเกือบเต็มในทุกแพลตฟอร์มโอทีเอ และพนักงานก็ได้เซอร์วิสชาร์จที่ดี อย่างล่าสุดอยู่ที่ 19,200 บาทต่อคน และยังเป็นการแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคคลากรด้วย เนื่องจากด้วยโลเคชั่นของรีสอร์ทที่อยู่บนเขา การนำบุคลากรทำงานโรงแรมจาก ข้างล่างขึ้นมาข้างบนนี้ค่อนข้างยาก
อีกหนึ่งจุดเด่น คือ บริการด้านไดนิ่ง ซึ่งเป็นอาหารแบบญี่ปุ่นผสมท้องถิ่น ร้านอาหารของที่นี่เมนูอาหาร จะประกอบด้วยอาหารญี่ปุ่น 70% อาหารไทยและอาหารท้องถิ่น 20% และอาหารตะวันตก 10% ซึ่งในปีนี้จะมีการเพิ่มสัดส่วนของอาหารไทยและอาหารชาติพันธุ์เข้ามาให้มากขึ้น
ทั้งนี้เพื่อสะท้อนเอกลักษณ์ของท้องถิ่น และวัตถุดิบส่วนใหญ่ที่ใช้จากท้องถิ่นทั้งหมด โดยเฉพาะผัก ผลไม้ และสมุนไพร เราซื้อจากโครงการหลวงหนองหอย ที่อยู่ใกล้รีสอร์ท ส่วนผลไม้อย่างสตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ ก็ใช้ผลผลิตจากท้องถิ่นทั้งหมด ซึ่งสดและลูกใหญ่
สำหรับแผนในอนาคต จะมุ่งพัฒนาตัวเองให้เป็นเวลเนสติเนชั่นครบวงจร โดยอยากโฟกัสเรื่องออนเซ็นมากขึ้น โดยจะเพิ่มฝั่งออนเซนให้เป็น ฟูล สปา ฟูล แอคทิวิตี้ มีสปาเพิ่มมากขึ้น มีโยคะมากขึ้น ซึ่งจะช่วยดัน ADR ให้เพิ่มขึ้น และทำให้เราเป็นเดสติเนชั่นสำหรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอย่างสมบูรณ์
รวมถึงมีแผนเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยจะปรับปรุงทักษะภาษาอังกฤษของพนักงาน พัฒนาแพ็กเกจทัวร์ และกิจกรรมต่างๆ เช่น การเดินป่า (Tracking) การเยี่ยมชมฟาร์ม รวมถึงการสร้างพันธมิตรกับแหล่งท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับเวลเนสในบริเวณใกล้เคียง
ด้านความยั่งยืน เราก็เดินหน้าต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันเรา ได้รับรางวัล Earth Award และ Green Hotel แล้ว และกำลังมุ่งสู่การเป็น Carbon Neutral Hotel ปีนี้ โดยงดใช้พลาสติกในโรงแรมทั้งหมด ใช้ขวดแก้วแทนขวดพลาสติก แยกขยะอย่างจริงจัง และมีแผนที่จะติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้า
“เชียงใหม่มีศักยภาพสูงมากในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเวลเนส ด้วยความที่มีธรรมชาติที่หลากหลาย มีน้ำพุร้อน มีอากาศดี มีอาหารออร์แกนิก เชียงใหม่มีองค์ประกอบครบถ้วนสำหรับการเป็นจุดหมายปลายทางด้าน เวลเนส ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม ก็เป็นจุดขายหนึ่งของการท่องเที่ยวเวลเนสของเชียงใหม่เช่นกัน
หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,083 วันที่ 30 มีนาคม - 2 เมษายน พ.ศ. 2568