บี้รัฐคุมราคา “ค่ารักษาพยาบาล” แพงเกินจริง เพิ่มภาระผู้บริโภค

22 มิ.ย. 2568 | 01:21 น.
อัปเดตล่าสุด :22 มิ.ย. 2568 | 01:25 น.

สศช.แนะรัฐทบทวนมาตรการกำกับดูแล ค่ารักษาพยาบาลที่แพงเกินจริง หลังพบค่าบริการโรงพยาบาลเอกชนที่แพงเกินความเหมาะสมและไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยประเด็นด้านสังคมที่น่าจับตาในปี 2568 ว่า ขณะนี้พบว่า ค่าบริการโรงพยาบาลเอกชนมีราคาที่แพงเกินความเหมาะสมและไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค จากข้อมูลของสภาองค์กรของผู้บริโภค ในปี 2568 พบตัวอย่างราคาเวชภัณฑ์ในโรงพยาบาลเอกชนที่สูงเกินจริง

ตัวอย่างเช่น ค่าน้ำเกลือขนาด 1,000 มิลลิลิตร ที่ราคาในท้องตลาดอยู่ที่ 45 บาท แต่โรงพยาบาลเอกชนบางแห่งคิดราคาสูงถึง 919 บาท สูงกว่าราคาตลาดถึง 20.4 เท่า 

ขณะเดียวกัน จากการตรวจสอบราคายาเฉลี่ยบางชนิดของโรงพยาบาล เอกชน ผ่านเว็บไซต์ dmsic.moph.go.th ของกระทรวงพาณิชย์ พบว่า โรงพยาบาลบางแห่งคิดค่ายาฆ่าเชื้อขนาด 250 มิลลิกรัม สูงกว่าราคาเฉลี่ยในท้องตลาดถึง 64.5 เท่า (ข้อมูล ณ วันที่ 26 มีนาคม 2568) 

สถานการณ์ข้างต้น สะท้อนถึงภาระค่าใช้จ่ายที่ประชาชนต้องแบกรับอย่างไม่เหมาะสม จึงควรมีการทบทวนมาตรการกำกับดูแล ค่ารักษาพยาบาลที่แพงเกินจริง ตลอดจนมีการกำหนดกรอบราคากลางที่เป็นธรรม 


ทั้งนี้หากพิจารณาถึงสถานการณ์หนี้สินครัวเรือน ในไตรมาสสี่ ปี 2567 พบว่า หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่ารวม 16.42 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 0.2 ชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่หกติดต่อกัน จากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ที่ให้สินเชื่อลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 88.4 จากร้อยละ 88.9 ในไตรมาสก่อนหน้า

เมื่อพิจารณาหนี้ครัวเรือนจำแนกตามวัตถุประสงค์การก่อหนี้ ในไตรมาสสี่ ปี 2567 พบว่า สินเชื่อ ที่ขยายตัวชะลอลง ได้แก่ สินเชื่อเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ ขยายตัวร้อยละ 2.3 จากร้อยละ 2.5 ในไตรมาสก่อน ตามกำลังซื้อที่ลดลง เช่นเดียวกับสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำากับที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 3.9 และ 1.4 จากเดิมที่ไตรมาสก่อนขยายตัวร้อยละ 4.6 และ 4.0 ตามลำดับ 

ขณะที่ประเภทสินเชื่อที่หดตัว ได้แก่ สินเชื่อยานยนต์หดตัวร้อยละ 9.6 ตามยอดขายรถยนต์ส่วนบุคคลและรถจักรยานยนต์ที่ลดลง สินเชื่อบัตรเครดิตหดตัวร้อยละ 3.4 และสินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจหดตัวร้อยละ 0.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของรายได้ครัวเรือนไทยที่จำเป็นต้องมีการเร่งแก้ไขในระดับนโยบายต่อไป