เมื่อโพสต์เฟซบุ๊กข้อความสั้นๆ เพียงไม่กี่บรรทัดกลายเป็นกระแสโซเชียลที่สั่นสะเทือนวงการสาธารณสุขไทย จน "นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สมาชิกวุฒิสภา" หรือที่คนทั่วไปรู้จักในนาม "หมอวี" เปิดใจเล่าเบื้องหลังกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า มีสื่อมวลชนหลายสำนักแห่ติดต่อขอสัมภาษณ์ โพสต์ดังที่เตือนสังคมไทยว่า "อีก 3 ปี ระบบสาธารณสุขจะพัง ในขณะที่ประชาชนยังไม่รู้ตัว"
หมอวี เล่าด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "ประเด็นที่โพสต์นั้น ไม่ได้ตื่นเช้ามานั่งพิมพ์เฟซบุ๊กเล่นๆ ผมเอาบทสรุปของงานประชุมที่เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ ซึ่งผมได้ไฟล์สรุปมาทั้งหมด แล้วผมก็มานั่งวิเคราะห์ดูว่ามีปัญหาอย่างไร แก้ปัญหาอย่างไร"
การประชุมครั้งนั้นไม่ใช่การประชุมธรรมดา แต่เป็นการประชุมสำคัญที่มีการวิเคราะห์ทิศทางของ "ระบบบัตรทอง" ในปัจจุบันและอนาคต โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องครบครัน ทั้งโรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป บุคลากรสาธารณสุข และแม้แต่ตัวแทนสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ก็ร่วมประชุมด้วย
"ในวงประชุมเขาก็วิเคราะห์ปัญหาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดอะไรอยู่ในปัจจุบันบ้าง และทิศทาง ถ้าเราไม่ได้แก้ไขในอนาคตมันจะเกิดเรื่องอะไร" หมอวีอธิบายถึงเนื้อหาการประชุมที่กลายเป็นที่มาของข้อมูลในโพสต์ดังกล่า
คำว่า "3 ปี" ที่ทำให้ทุกคนตกใจและกลายเป็นประเด็นร้อนนั้น หมอวียืนยันว่ามีที่มาที่ชัดเจน ไม่ใช่การคาดเดาหรือการสร้างความตื่นตระหนก
"ทุกคนจะรู้สึกว่า เฮ้ย 3 ปี ทำไมตัวเลขถึง 3 ปี มันมีที่มา มันไม่ใช่ผมนั่งเทียนอีก" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
โดยที่มาของตัวเลข 3 ปีนั้น เริ่มต้นจากสถานการณ์หลังโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบการเงินของโรงพยาบาลทั่วประเทศ ช่วงหลังโควิดที่ผ่านมา โรงพยาบาลต่างๆ มีเงินบำรุงรวมกันอยู่ประมาณ 80,000 ล้านบาท แต่ในระยะเวลาเพียง 2 ปีที่ผ่านมา เงินบำรุงหายไปปีละ 20,000 ล้านบาท
"20,000 ล้านหายไปไหน? หายไปอุดช่องการรักษาคน" หมอวีเผยความจริงที่หลายคนไม่ทราบ ต้องยอมรับว่าโรงพยาบาลได้รับเงินจากสปสช.ไม่เต็มตามจำนวน อันนี้ต้องยืนยัน"
เมื่อคำนวณเป็นแนวโน้ม หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปในลักษณะเดิม จากเงินบำรุงที่เหลืออยู่ปัจจุบัน 40,000 ล้านบาท หากยังคงหายไปปีละ 20,000 ล้านบาท ปีหน้าจะเหลือ 20,000 ล้าน ปีถัดไปจะหมดสิ้น
"เห็นไหม ปีที่ 3 เงินบำรุงทุกโรงบาลจะติดลบหมด" หมอวีกล่าวด้วยความกังวล
ปัจจุบันสถานการณ์เริ่มแสดงสัญญาณเตือนอย่างชัดเจนแล้ว
โดยมีโรงพยาบาลติดลบอยู่แล้ว 218 โรงพยาบาล จากทั้งหมด 900 แห่งทั่วประเทศ โดย 10 อันดับแรกที่ติดลบมากที่สุดมีจำนวนเงินติดลบเกือบ 2,000 ล้านบาท
และมีโรงพยาบาลอีก 91 แห่งที่เหลือเงินบำรุงไม่ถึง 5 ล้านบาท คือบริหารเดือนเดียวก็หมดแล้ว เดือนหน้าก็หมดแล้ว ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความร้ายแรงของปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น
นอกจากปัญหาทางการเงินแล้ว หมอวียังชี้ให้เห็นถึงปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในระบบสาธารณสุข ซึ่งล้วนเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญ
"ปลายปีที่แล้วมีหมอขับรถชนตายหลังโรงพยาบาล มีเจ้าหน้าที่ถูกทำร้ายร่างกาย มีคนร้องว่าเงินเดือนเงินตกเบิกไม่ออกตามที่ต้องการ มีข่าวหมออินเทิร์นลาออก มีข่าวว่าเงินบำรุงโรงบาลติดลบ มันเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ต่อเนื่องมาเรื่อยเรื่อย"
เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เหตุการณ์แยกส่วน แต่เป็นปัญหาที่เชื่องโยงกันทั้งหมด สะท้อนให้เห็นถึงความเครียดและความกดดันที่เกิดขึ้นในระบบสาธารณสุข
การรับรู้ที่แตกต่างกัน
สิ่งที่น่าสนใจคือการรับรู้ที่แตกต่างกันระหว่างผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่กับผู้บริหารระดับสูง หมอวีกล่าวว่า "ถ้าคนในกระทรวงบอกว่ายังไม่มีปัญหา แปลกไหม เพราะฉะนั้นถ้าเราบอกไม่มีปัญหา มันจะแก้ไม่ได้"
หลังจากที่โพสต์ออกไป หมอวีเล่าว่า ได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็วจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
"วันจันทร์ก็มีหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสิ่งที่ผมโพสต์ ท่านก็ออกมาพูดทันทีว่าไม่มีปัญหา ระบบสาธารณสุขไม่ล่ม อันนี้คือสิ่งที่เป็นปัญหา"
การปฏิเสธการมีอยู่ของปัญหานี้เองที่หมอวีมองว่าเป็นอุปสรรคสำคัญในการแก้ไขปัญหา ทั้งที่ความจริงเราต้องยอมรับว่ามีปัญหาจริงๆ ปัญหาครั้งนี้เป็นปัญหาหนักจริงๆ
คำว่า "ล้ม" ที่หมอวีใช้ในโพสต์ทำให้เกิดความเข้าใจผิดหลายประการ จึงต้องออกมาอธิบายให้ชัดเจนว่า อาจจะไม่ได้ล้มแบบตึกล้มอย่างที่คนเข้าใจ ระบบสาธารณสุขล้มแบบไม่มีหมอมารักษาไม่ใช่ แต่ล้มในที่นี้คือหมายความว่าเงินโรงพยาบาลไม่เหลือ และเรามีความจำกัดมากในการวินิจฉัยคนไข้ ในการตรวจ ในการนำเงินไปรักษาคนไข้ มันโดนจำกัด
"โรงพยาบาลติดหนี้ค่ายา บริษัทยาเขาไม่ให้ เขาไม่ปล่อยมาแล้ว เพราะคุณติดหนี้เขาอยู่ คุณมีเครดิตไม่ดี เขาก็ไม่ปล่อยยา บริษัทยาไม่ปล่อยยาให้โรงพยาบาล โรงพยาบาลจะเอายาที่ไหนไปรักษาประชาชน"
นี่คือผลกระทบที่ร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนยังไม่รู้ตัว เมื่อระบบการเงินของโรงพยาบาลล่มสลาย ผู้ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงคือประชาชนที่ต้องการการรักษาพยาบาล