วันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศฯฉบับที่ 15 เรื่อง พายุ“คัลแมกี” และฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณประเทศไทย โดยเมื่อเวลา 14.00 น. ของวันนี้ พายุดีเปรสชัน “คัลแมกี” (KALMAEGI) ได้เคลื่อนเข้าปกคลุมบริเวณอำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษแล้ว โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด 15.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 104.5 องศาตะวันออก ความเร็วลมสูงสุด ใกล้ศูนย์กลางประมาณ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก ด้วยความเร็วประมาณ 12 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าพายุนี้จะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงในระยะต่อไป และจะเคลื่อนปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคเหนือในช่วงวันที่ 7–8 พ.ย. 68
จากอิทธิพลของพายุ “คัลแมกี”ส่งผลให้ในช่วงวันที่ 7–9 พ.ย. 68 ประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ บริเวณด้านตะวันตกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคเหนือตามลำดับ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก และฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน พื้นที่ลุ่ม และพื้นที่น้ำท่วมขัง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตร
สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กบริเวณทะเลอันดามัน ควรงดออกจากฝั่งต่อไปอีก 1 วัน (7 พ.ย. 68)
ขอให้ประชาชนติดตามประกาศอย่างใกล้ชิด และติดตามข้อมูลที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยาหรือโทร 0-2399-4012-13 และ 1182 โดยกรมฯจะออกประกาศฉบับต่อไปวันที่ 7 พ.ย.68 เวลา 18.00 น.
ด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)รายงานว่า จากการติดตามการเคลื่อนตัวของพายุ “คัลแมกี” พบว่าช่วงเช้าของวันนี้ (7 พ.ย. 68) พายุได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันที่ประเทศลาว ก่อนเคลื่อนเข้าปกคลุม อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี โดยข้อมูลปัจจุบัน (7 พ.ย. 68 เวลา 15.00 น.) พายุดีเปรสชัน “คัลแมกี” มีศูนย์กลางอยู่ที่ อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ และแนวโน้มพายุเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกอย่างช้า ๆ ก่อนจะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงตามลำดับ ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยตอนบนมีปริมาณฝนเพิ่มมากขึ้น โดยในช่วงวันที่ 7 - 8 พ.ย. 68 จะมีฝนตกหนักถึงหนักมากในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคเหนือของประเทศไทย
สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานว่าพื้นที่ที่เป็นเส้นทางผ่านของพายุมีฝนตกเล็กน้อยถึงปานกลาง และยังไม่มีรายงานความเสียหายเกิดขึ้น โดยการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้สั่งการให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย. 68 ที่ผ่านมา โดยให้ตรวจสอบความพร้อมและเตรียมเครื่องจักรกลสาธารณภัยและเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการให้สามารถออกปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยตลอด 24 ชั่วโมง
ปัจจุบัน ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตได้ส่งเครื่องจักรกลสาธารณภัยที่จำเป็น อาทิ เครื่องสูบน้ำ รถปฏิบัติการบรรเทาอุทกภัย เรือท้องแบน ไปประจำยังพื้นที่เสี่ยงภัยล่วงหน้า เพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ประสบภัยได้ทันทีที่เกิดสถานการณ์ภัยขึ้น
ส่วนความกังวลใจเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำในเขื่อนต่างๆ ล่าสุดนายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะโฆษก สทนช. เปิดเผยว่า การบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝน หน่วยงานภาครัฐจำเป็นต้องคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการป้องกันอุทกภัย และการกักเก็บน้ำไว้ในเขื่อนเพื่อป้องกันปัญหาขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง จึงจำเป็นต้องมีการคาดการณ์สถานการณ์และปรับแผนการบริหารจัดการน้ำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนเข้าสู่ฤดูฝนจนตลอดฤดู
สำหรับฤดูฝนปี 2568 กรมอุตุนิยมวิทยา และ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่าปีนี้จะมีปริมาณฝนมากกว่าค่าเฉลี่ย โดยฝนจะตกเพิ่มมากขึ้นและมีความเสี่ยงที่จะมีพายุหมุนเขตร้อนพัดเข้ามาในประเทศไทยในช่วงเดือนสิงหาคม - ตุลาคม อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งได้ในหลายพื้นที่
นอกจากนี้ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประเมินว่า เขื่อนขนาดใหญ่จำนวน 15 แห่ง มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดน้ำล้นความจุเขื่อน โดยบางแห่งมีแนวโน้มเกิดน้ำล้นตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2568 ดังนั้น จึงจำเป็นต้องปรับแผนการระบายน้ำของเขื่อน เพื่อป้องกันสถานการณ์อุทกภัยให้ได้มากที่สุด โดยในช่วงต้นปีได้กำหนดเป้าหมายให้เขื่อนมีปริมาณน้ำประมาณ 80% ของความจุเก็บกัก ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งเป็นช่วงสิ้นสุดฤดูฝน เป็นแนวทางให้สามารถทยอยเพิ่มการระบายน้ำของเขื่อน เพื่อเตรียมพื้นที่ว่างสำหรับรองรับน้ำช่วงฝนตกหนัก ช่วยลดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายเขื่อน
ขณะเดียวกัน ยังคงมีการติดตามวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อหาช่วงเวลาที่เหมาะสมและปลอดภัยในการลดหรือหยุดการระบายน้ำของเขื่อนและกักเก็บน้ำให้ได้มากที่สุด เพื่อสำรองไว้ใช้ในฤดูแล้งได้อย่างเพียงพอ
สำหรับเขื่อนขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือ เช่น เขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ ถือเป็นตัวอย่างของการบริหารจัดการน้ำตามแนวทางดังกล่าว โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ได้มีการเร่งพร่องน้ำจากเขื่อนทั้ง 2 แห่ง ตามแผนการระบายน้ำเป็นรายเดือน ที่ต้องสอดรับกับปริมาณฝนและปริมาณน้ำในลำน้ำในแต่ละช่วงเวลา โดยเขื่อนภูมิพล มีการระบายน้ำไปแล้ว รวม 5,369 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ขณะที่เขื่อนสิริกิติ์ ระบายน้ำไปแล้วถึง 7,608 ล้าน ลบ.ม. ทำให้ช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งสองเขื่อนมีพื้นที่ว่างรองรับน้ำฝนจากพายุแต่ละลูกและช่วยหน่วงน้ำที่จะไหลไปเพิ่มในลำน้ำต่างๆ ได้เป็นจำนวนมาก ตลอดช่วงฤดูฝนนี้ แม้จะเป็นปีที่ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากพายุถึง 7 ลูกก็ตาม
ในส่วนของสถานการณ์พายุ “คัลแมกี” ที่เคลื่อนตัวเข้าประเทศไทยในขณะนี้นั้น สทนช. ได้ร่วมกับทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อวางแผนบริหารจัดการน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ให้สอดคล้องกันโดยปรับเพิ่มการระบายน้ำที่เขื่อนภูมิพลแบบเป็นขั้นบันได จากเดิม 15 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เป็นสูงสุดไม่เกิน 60 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน กรณีมีฝนตกหนักมาก แต่เบื้องต้นจะคงการระบายน้ำอยู่ที่อัตรา 40 - 45 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน ซึ่งผ่านการประเมินผลกระทบแล้วอย่างรอบคอบ
"ขอยืนยันว่ามวลน้ำที่ระบายจากเขื่อนภูมิพลจะไม่ทำให้ระดับน้ำสูงสุดในเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้น เนื่องจากน้ำจากเขื่อนภูมิพลใช้เวลาประมาณ 8 วันจึงจะไหลถึงเขื่อนเจ้าพระยา ซึ่งระหว่างนั้น น้ำที่อยู่เหนือเขื่อนเจ้าพระยาในปัจจุบันจะค่อย ๆ ไหลลงสู่อ่าวไทยไปก่อนแล้ว"
สำหรับเขื่อนสิริกิติ์นั้น ขณะนี้ยังมีพื้นที่กักเก็บน้ำเพียงพอที่จะรองรับปริมาณน้ำหลากจากพื้นที่ด้านเหนือเขื่อนได้ จึงยังคงการระบายน้ำไว้ในอัตราปัจจุบัน คือ 9.91 ล้าน ลบ.ม ต่อวัน เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายน้ำ และลดระดับน้ำในลำน้ำให้สามารถระบายน้ำออกจากทุ่งบางระกำลงสู่แม่น้ำน่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหน่วยงานจะมีการประเมินสถานการณ์ตลอดเวลา และบูรณาการการบริหารจัดการน้ำร่วมกันในภาพรวมทุกลุ่มน้ำ เพื่อให้ภาพรวมของทุกพื้นที่ทั่วประเทศผ่านพ้นสถานการณ์นี้ กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว