กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือ ปภ.แจ้งเตือนสาธารณภัย ประจำวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 โดยประกอบไปด้วยพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำท่วมขังในระยะสั้น ,น้ำล้นตลิ่ง และน้ำท่วมขัง ,ดินโคลนถล่ม , น้ำทะเลหนุนสูงบริเวณปากแม่น้ำและพื้นที่ราบลุ่มชายฝั่ง และ คลื่นลมแรง ทั้งนี้ประชาชนสามารถตรวจสอบพิกัดพื้นที่เสี่ยงได้ดังต่อไปนี้
อนึ่งเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ปภ. ได้ส่งข้อความแจ้งเตือนผ่าน Cell Broadcast จังหวัดระนอง และจังหวัดสิงห์บุรี โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และจังหวัดระนอง ได้ติดตามสถานการณ์ฝนในพื้นที่ จ.ระนอง พบว่ามีฝนตกหนักในพื้นที่ อ.สุขสำราญ และยังคงตกต่อเนื่อง ขอให้เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง ดินโคลนถล่ม ในพื้นที่เสี่ยงริมห้วย/คลอง/ลำน้ำ ที่ลุ่มต่ำและที่ลาดเชิงเขา โดยเฉพาะ ต.นาคา และพื้นที่ใกล้เคียง ให้ยกของขึ้นที่สูง ดูแลกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และติดตามข่าวสารจากทางราชการในพื้นที่อย่างใกล้ชิด
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และจังหวัดสิงห์บุรี ได้ติดตามสถานการณ์น้ำแม่น้ำเจ้าพระยาที่ จ.สิงห์บุรี พบว่าคันดินกั้นน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ บ้านบางพระนอน ต.ทับยา อ.อินทร์บุรี ชำรุดทำให้น้ำไหลเข้าไปในพื้นที่ชุมชน และระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ขอให้ผู้อาศัยอยู่ในพื้นที่ ม.1,2,3,4 ต.ทับยา และพื้นที่ใกล้เคียง ยกของขึ้นที่สูง เคลื่อนย้ายรถไปในที่สูง เคลื่อนย้ายกลุ่มเปราะบางไปยังที่ปลอดภัย ติดตามข่าวสารราชการในพื้นที่อย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด
ด้านสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ได้อัปเดตสถานการณ์น้ำในประเทศไทยประจำวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 โดยเปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม มีปริมาณน้ำรวม 88% ของความจุเก็บกัก (71,298 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 81% (47,176 ล้าน ลบ.ม.)
ทั้งนี้ สทนช. ได้ร่วมประชุมกับทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์ฝน สถานการณ์น้ำท่า และปริมาณน้ำในเขื่อนแต่ละแห่งอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเขื่อนขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ในแนวพื้นที่รับฝนจากพายุคัลแมกี ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนอุบลรัตน์ ที่ปัจจุบันมีปริมาณน้ำในเขื่อนเกือบ 100% จึงต้องมีการวางแผนพร่องระบายน้ำของแต่ละเขื่อนอย่างรอบคอบรัดกุม โดยจากการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พบว่า เขื่อนสิริกิติ์และเขื่อนอุบลรัตน์ สถานการณ์ยังไม่น่าเป็นห่วงและสามารถรองรับปริมาณฝนที่จะตกมาเพิ่มได้
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบให้ กฟผ. วางแผนปรับเพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันไดตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปในอัตรา 30 ล้าน ลบ.ม./วัน 40 และ 45 ล้าน ลบ.ม./วัน สูงสุดไม่เกิน 60 ล้าน ลบ.ม./วัน ปริมาณน้ำที่ระบายออกจากเขื่อนดังกล่าวจะส่งผลให้ระดับน้ำด้านท้ายเขื่อนฯ เพิ่มสูงขึ้นไม่เกิน 20 เซนติเมตร โดยมวลน้ำจากเขื่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำปิง ผ่าน จ.ตาก กำแพงเพชร และนครสวรรค์ จนถึงเขื่อนเจ้าพระยาใช้เวลาอีก 8-9 วัน ซึ่งจะไม่ส่งผลให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น โดยขอให้ กฟผ. พิจารณาปรับการระบายน้ำให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของเขื่อนและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อด้านท้ายน้ำเป็นสำคัญ รวมทั้ง ให้มีการสื่อสารประชาสัมพันธ์กับพื้นที่และประชาชนล่วงหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ได้