ผลกระทบค่าแรงขั้นต่ำ 400บาท ในกทม. กับทางออกธุรกิจ1ก.ค.68

การปรับ ค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวัน ในเขตกรุงเทพมหานคร และบางกิจกรรมในภูมิภาค เริ่มมีผลใช้วันที่1กรกฎาคม2568 ซึ่งมีทั้งผลกระทบเชิงบวกและลบต่อภาคธุรกิจ รวมถึงเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ทางออกของธุรกิจจึงต้องพิจารณาให้รอบด้าน ทั้งในแง่ต้นทุน กำลังแรงงาน และการปรับตัวเชิงกลยุทธ์

ผลกระทบเชิงบวก

1.เพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภค 

• รายได้ที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้คนมีเงินใช้จ่ายมากขึ้น กระตุ้นเศรษฐกิจ

2.ลดความเหลื่อมล้ำ

• เพิ่มรายได้ให้แรงงานระดับล่าง โดยเฉพาะภาคแรงงานไม่มีทักษะ

3.แรงจูงใจแรงงาน

• ช่วยลดการเปลี่ยนงานบ่อย และสร้างแรงจูงใจให้คนเข้าทำงาน

ผลกระทบเชิงลบต่อธุรกิจ

ต้นทุนแรงงานสูงขึ้น ธุรกิจ SME และภาคการผลิตที่ใช้แรงงานจำนวนมากอาจได้รับผลกระทบมากขึ้น

ความเสี่ยงด้านการจ้างงาน บางกิจการอาจลดการจ้างงาน หรือหันไปใช้แรงงานไม่ประจำ (freelance, outsource)

ต้นทุนผลักภาระไปยังผู้บริโภค ราคาสินค้าและบริการอาจปรับตัวสูงขึ้น

มีผลต่อความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะธุรกิจที่ส่งออกหรือต้องแข่งขันกับต่างประเทศที่แรงงานต้นทุนต่ำ

ทางออกของธุรกิจ

1. ปรับกระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้ระบบอัตโนมัติ (automation) เพื่อลดการพึ่งพาแรงงานปรับปรุงขั้นตอนการผลิตให้ลดของเสีย ลดเวลาทำงาน
2. ลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมใช้เครื่องจักรแทนแรงงานในระยะยาว ระบบ ERP, POS, และ AI เพื่อบริหารจัดการต้นทุน
3. ปรับโครงสร้างองค์กร ลดพนักงานที่ซ้ำซ้อน เพิ่มบทบาทแรงงานทักษะสูง ฝึกอบรมพนักงานเพื่อเพิ่มมูลค่าแรงงาน
4. เพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการเน้นคุณภาพ สร้างแบรนด์ เพื่อสามารถตั้งราคาขายที่สูงขึ้นปรับกลยุทธ์การตลาด เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน
5. หาพื้นที่ที่แรงงานยังมีต้นทุนต่ำ ย้ายโรงงานไปยังจังหวัดที่ต้นทุนดำเนินงานต่ำกว่า (ถ้ายังมีส่วนต่างระหว่างจังหวัด)

คำแนะนำ

• ธุรกิจรายใหญ่ ควรลงทุนใน เทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติ
• ธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (SME) ควรเน้นที่ การเพิ่มผลิตภาพ (productivity) และ พัฒนาแรงงาน
• ผู้ประกอบการรายย่อย อาจต้องปรับตัวเชิงกลยุทธ์ เช่น เปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ, ลดขนาด, หรือหา ช่องทางรายได้ใหม่