“เตรียมแผนการรับและจัดการการจ้างงานสำหรับแรงงานที่อาจจะต้องกลับจากไทย กัมพูชากำลังเผชิญกับการขาดแคลนแรงงานในหลายภาคส่วน เช่น อุตสาหกรรม เกษตรกรรม และการก่อสร้าง โดยแรงงานกัมพูชาอาจเลือกที่จะกลับประเทศโดยสมัครใจ ก่อนที่จะถูกส่งกลับจากไทย ซึ่งบางพื้นที่ในไทยกำลังประสบกับการเลือกปฏิบัติและการดูถูกจากบางกลุ่ม”
นี่คือสัญญาณการดึงแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชาในประเทศไทยกลับประเทศ เป็น 1 ใน 6 มาตรการจาก “สมเด็จ ฮุน เซน" ประธานสภาผู้แทนราษฎรกัมพูชาและบิดาของ "ฮุน มา เนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา" โพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เกี่ยวกับท่าทีการเตรียมออกมาตรการที่กัมพูชาจะใช้ตอบโต้หากไทยไม่ยอมเปิดจุดผ่านแดนที่ไทยได้ปิดไปโดยฝ่ายเดียว
ฐานเศรษฐกิจ ตรวจสอบข้อมูลล่าสุด ณ เดือนพฤษภาคม 2568 จาก กระทรวงแรงงาน เพื่อให้เห็นภาพใหญ่ของจำนวนแรงงานต่างด้าวในไทย โดยพบข้อมูลจำนวนแรงงานต่างด้าวจากกลุ่มประเทศ CLMV คือ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม แบ่งเป็นจำนวนมากสุดไปหาน้อยสุดดังนี้
แรงงานทั่วไป 656 คน
นำเข้าตาม MOU 1.8 แสนคน
ส่งเสริมการลงทุน 86 คน
ชนกลุ่มน้อย 256 คน
ต่ออายุ 1.3 แสนคน
จดทะเบียนสถานะไม่ถูกกฎหมาย 1.09 แสนคน
ไป กลับ ตามฤดูกาล 2.2 หมื่นคน
กระทรวงแรงงานระบุด้วยว่า ทั้งนี้ตัวเลขข้างต้นเป็นจำนวนแรงงานที่ได้รับอนุญาตทำงานตามประเภทต่าง ๆ ได้แก่ MOU, มติ ครม., ชนกลุ่มน้อย และแรงงานที่ได้รับอนุญาตทำงานแบบไป-กลับตามฤดูกาล โดยไม่รวมแรงงานที่เข้ามาทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือแรงงานที่ทำงานในลักษณะผิดกฎหมาย
และมีคำถามต่ออีกว่าแล้วแต่ละประเทศต้นทางของแรงงานต่างด้าวในประเทศกลุ่ม CLMV ได้รับค่าแรงานขั้นต่ำเท่าไรหากพวกเขาทำงานอยู่ในประเทศ หากไม่ข้ามาทำงานในไทยที่มีอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 330–370 บาท และปรับเป็น 400 บาท/วัน ในบางจังหวัด
สรุป ประเทศไทยมีอัตราค่าแรงขั้นต่ำสูงที่สุดในประเทศกลุ่ม CLMV คือ 400 บาทต่อวันในบางจังหวัด ที่เป็นแรงจูงใจให้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านย้ายไปทำงานมากกว่าในบ้านเกิด