KEY
POINTS
เข้าสู่โค้งสุดท้ายสำหรับเทศกาลลดหย่อนภาษีแล้ว ซึ่งนักลงทุนจำนวนมากกำลังมองหากองทุนเพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ทั้งกองทุน Thai ESG และ RMF ที่ช่วยลดภาระภาษีได้อย่างมีนัยสำคัญ
การเลือกกองทุนลดหย่อนภาษีไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจกันได้ง่าย เพราะนอกจากจะต้องคำนึงถึงผลตอบแทนที่คาดหวังแล้ว ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นระดับความเสี่ยงที่แต่ละคนรับได้ ระยะเวลาการลงทุนที่มีข้อผูกมัดแตกต่างกัน รวมถึงเป้าหมายทางการเงินในอนาคตของแต่ละบุคคล
นายกฤช โคมิน CFA. Head of Wealth Product & Investment Strategy บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดมุมมองกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' ว่า การลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีไม่ควรมองเพียงแค่ประโยชน์ด้านภาษีเพียงอย่างเดียว
แต่ควรมองเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนการเงินระยะยาวด้วย โดยเฉพาะกองทุน RMF ที่ออกแบบมาเพื่อการเกษียณ และควรเลือกด้วยความรอบคอบและสอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตของตนเอง
รวมทั้งสำหรับนักลงทุนกลุ่ม High Net Worth ที่มีฐานภาษีในระดับสูง ในโค้งสุดท้ายปี 2568 นี้ สามารถวางแผนการลงทุนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุดรวมกันถึง 8 แสนบาท ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีในการบริหารภาษีและสร้างพอร์ตการลงทุนระยะยาวไปพร้อมกัน
แม้จะมีกองทุนให้เลือกมากมาย แต่ถ้าเข้าใจหลักการเลือกที่ถูกต้อง ก็จะสามารถตัดสินใจได้ไม่ยาก การเลือกกองทุนที่เหมาะสมจะช่วยให้นักลงทุนสามารถถือครองกองทุนได้ในระยะยาวโดยไม่กังวลจนเกินไป และยังเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีตามเป้าหมายที่วางไว้
1. KKP GB THAI ESG (ความเสี่ยงระดับ 3 = เสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ) – ตัวเลือก Best in Class กองทุนตราสารหนี้ภาครัฐระยะยาวสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดหย่อนภาษี ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพของพอร์ตการลงทุน มีความเสี่ยงต่ำกว่าเมื่อเทียบกับกองทุนประเภทอื่น จุดเด่นคือผลตอบแทนที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ แม้ในช่วงสั้นๆ อย่าง 1-3 เดือนอาจเห็นผันผวนบ้าง เพราะรับแรงกดดันจากทิศทางอัตราดอกเบี้ย แต่โดยรวมถือว่านิ่งกว่าการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ
2. K-BL30-THAIESG (ความเสี่ยงระดับ 5 = เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) – กองทุนผสม เน้นตราสารหนี้และมีกระจายการลงทุนในหุ้นไทย 30% มีความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างโอกาสเติบโตและการบริหารความผันผวนของพอร์ต ให้ผลลัพธ์ที่เสถียรกว่ากองทุนหุ้นล้วนในช่วงตลาดผันผวน และยังคงมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่ากองทุนตราสารหนี้ล้วนในระยะกลางถึงยาวในเชิงกลยุทธ์
3. SCBTP (ThaiESGA) (ความเสี่ยงระดับ 6 = เสี่ยงสูง) – เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นไทยขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นบริษัทที่มีฐานธุรกิจมั่นคง และมีมาตรฐานด้าน ESG ที่ดี กองทุนมีลักษณะเป็น Equity Exposure มากกว่ากองทุนผสม ทำให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น ขณะเดียวกันอาจจะก็ต้องแลกมากับความผันผวนที่สูงขึ้นในระยะสั้น
4. K-FIRMF (ความเสี่ยงระดับ 4 = เสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ) – กองทุนแกนหลักสำหรับพอร์ตเกษียณ ที่เน้นความมั่นคงระยะยาว เป็น RMF สายตราสารหนี้ที่ออกแบบมาเพื่อเป็นฐานที่มั่นของพอร์ตลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องการความเสี่ยงต่ำ และอยากให้เงินเกษียณเติบโตไปแบบนิ่งๆ ลงทุนแบบกระจายตัวในตราสารหนี้คุณภาพดีภายในประเทศ ทั้งพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง ให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ
5. UGISRMF (ความเสี่ยงระดับ 5 = เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) – ทางเลือก Income Fund ระดับโลก สำหรับสร้างกระแสรายได้สม่ำเสมอในพอร์ตเกษียณ เน้นสร้างกระแสรายได้มั่นคงผ่านการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก โดยส่งเงินไปบริหารต่อผ่านกองทุนหลัก PIMCO GIS Income Fund ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านตราสารหนี้อันดับต้นๆ ของโลก ช่วยเสริมเสถียรภาพให้พอร์ตโดยรวม กระจายความเสี่ยงออกนอกตลาดไทย และเน้นสร้างรายได้สม่ำเสมอ
6. ES-GQGRMF (ความเสี่ยงระดับ 6 = เสี่ยงสูง) – Global Quality RMF สำหรับการสร้างการเติบโตระยะยาวของพอร์ตเกษียณ เน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพสูงจากทั่วโลก ผ่านกองทุนหลัก Wellington Global Quality Growth หนึ่งในทีมบริหารสินทรัพย์ชื่อดังที่มีประสบการณ์ยาวนาน และยังได้รับเรตติ้งระดับ 5 ดาวจาก Morningstar คัดหุ้นแบบละเอียดทีละตัว เน้นบริษัทที่มีความแข็งแรงจริงๆ ทั้งในเรื่องกำไรที่เติบโตดี และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้นในอนาคต
7. KFGGRMF (ความเสี่ยงระดับ 6 = เสี่ยงสูง) – Global Growth RMF สำหรับการสร้างการเติบโตระยะยาวของพอร์ตเกษียณ กองทุน RMF ระดับ Morningstar 5 ดาว สายหุ้นต่างประเทศที่เน้นลงทุนในบริษัทระดับโลกที่เป็นผู้ชนะระยะยาวมีศักยภาพเติบโตสูง เช่น กลุ่มเทคโนโลยีใหม่ สุขภาพ นวัตกรรม และธุรกิจที่เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจโลกในระยะยาว โดยส่งต่อการบริหารจากกองทุน Baillie Gifford Worldwide Long Term Global Growth Fund หนึ่งในผู้จัดการกองทุนระดับโลกที่ขึ้นชื่อเรื่องการคัดเลือกหุ้นเติบโตคุณภาพดี
8. ES-GAINCOMERMF (ความเสี่ยงระดับ 5 = เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) - กองทุน RMF ผสม ลงทุนแบบ Global Multi Asset Allocation 'รายได้สม่ำเสมอทั่วโลก' กระจายการลงทุนลงทุนในตราสารหนี้ หุ้น และทรัพยย์สินอื่นๆ ที่มุ่งสร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอควบคู่การควบคุมความผันผวน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการรายได้ เสถียรภาพในระยะยาว
9. SCBGOLDHRMF (ความเสี่ยงระดับ 8 = เสี่ยงสูงมาก) - กองทุน RMF ที่ลงทุนใน ทองคำ เพื่อกระจายความเสี่ยงพอร์ตและป้องกันเงินเฟ้อ เหมาะเป็นสินทรัพย์ Safe Haven ในช่วงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
10. K-USXNDQRMF (ความเสี่ยงระดับ 6 = เสี่ยงสูง) - กองทุน RMF ที่ลงทุนอิงดัชนี NASDAQ 100 รวมสุดยอดหุ้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมของสหรัฐฯ เช่น Apple, Microsoft, Nvidia, Amazon เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนตรงธีม หุ้นผู้นำโลก แบบระยะยาว
ผู้ลงทุนควรเริ่มวางแผนภาษีและทยอยซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ อย่ารอจนถึงวันสุดท้ายของปีแล้วค่อยตัดสินใจ เพราะหากลงทุนไม่ทัน อาจพลาดโอกาสรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในปีนี้ไปได้ โดยสามารถซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี RMF และ Thai ESG ได้จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568
อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้การันตีผลตอบแทนในอนาคต กองทุนที่มีความเสี่ยงระดับสูง (6-8) มีความผันผวนสูงมาก โดยเฉพาะกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอย่างทองคำ หรือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งอาจไม่เหมาะกับทุกคน
ดังนั้นแล้วผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลกองทุน ทำความเข้าใจนโยบายการลงทุน และประเมินความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง