KEY
POINTS
นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' ว่า ประเมินภาพรวมผลตอบแทนพันธบัตรหรือ (Bond Yield) ในช่วงที่เหลือของปี 2568 หากเป็นของสหรัฐฯ อาจมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ (Sideway)
แต่หากอิงจากผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) โดยคาดการณ์ว่าจะปรับลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปีหน้า (2569) เพราะทางธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่อาจเร่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันตลาดแรงงานสหรัฐฯ ก็เริ่มเผชิญการชะลอตัว ทำให้การดำเนินนโยบายเป็นไปอย่างยากลำบาก
แต่อย่างไรก็ตามระหว่างทาง (รายสัปดาห์) แนะให้ติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดแรงงานและเงินเฟ้อ เนื่องจากจะมีผลต่อความคิดนักลงทุนเกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ยที่จะกระทบกับพันธบัตรสหรัฐฯ
ทั้งนี้ กับ Yield ของประเทศไทยมีแนวโน้มลดลง (บวกกับตราสารหนี้ในแง่ราคา) ด้วยความคาดหวังว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดดอกเบี้ยต่อเนื่องเพราะเงินเฟ้อต่ำผสานกับเศรษฐกิจขยายตัวต่ำเช่นกัน และด้วยค่าเงินบาทที่แข็งค่ายิ่งเป็นปัจจัยที่จะต้องลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยสกัดเงินทุนที่จะไหลเข้ามา
ในแง่ของผลตอบแทนในตลาดหุ้นนั้น มองว่าหุ้นสหรัฐฯ ยังมีมุมมองเชิงบวก (แม้จะปรับขึ้นต่อเนื่องก็ตาม) เพราะกระแส AI , Data Center , Semiconductor ยังเป็นปัจจัยหนุน ขณะที่การลดดอกเบี้ยของ FED สะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังแข็งแกร่ง (ถึงปรับลดเพียงครั้งเดียว) โดยธีมการลงทุนเทคโนโลยียังคงเป็นกระแสหลักต่อไปสำหรับหุ้นสหรัฐฯ
ในส่วนของตลาดหุ้นไทย แม้ว่าในปัจจุบัน Valuation จะไม่ถูกนัก อีกทั้งเศรษฐกิจยังขยายตัวต่ำ แต่นักลงทุนคาดหวังกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจประกอบกับมีปัจจัยบวกเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย
ด้านตลาดทองคำนั้น มองว่ายังมีปัจจัยหนุนเช่นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เข้าสู่ Stagflation การแทรกแซง FED จากทีมบริหารของสหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยการปรับขึ้นมาอย่างมีนัยยะของทองคำ ส่งผลให้ ประเมินว่า Upside ด้านบนอาจเริ่มจำกัดแถวช่วง 3,700 - 3,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงที่เหลือของปี 2568 นี้