จากกรณีดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานบอร์ดคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เปิดเผยถึงเงินปริศนา ที่ไหลเข้าประเทศไทยไตรมาสละ 3,000 ล้านดอลลาร์ แต่เมื่อตรวจสอบบัญชีดุลสะพัดพบว่ามีส่วนของความคลาดเคลื่อนเพิ่มขึ้นผิดปกติในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
มันเหมือนกับจู่ๆ ก็มีเงินไหลเข้ามาในประเทศไทย แล้วธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือหน่วยงานเศรษฐกิจที่ช่วยกันดูนั้นบอกไม่ได้ว่าเป็นเงินมาจากไหน
พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ ที่ปรึกษากมธ. ปปง.และอดีตเลขาธิการ ปปง. เปิดเผยผ่านรายการ "เข้าเรื่อง" ทางช่องยูทูปฐานเศรษฐกิจว่า รูปแบบการฟอกเงินจากอดีตจนถึงปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญในการโอนถ่ายเงินที่ได้จากการกระทำความผิด และทำให้การติดตามเส้นทางการเงินเป็นไปได้ยากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
พ.ต.อ.สีหนาท อธิบายว่าในอดีต การฟอกเงินมักจะเกี่ยวข้องกับการโอนเงินเข้าบัญชีม้าเพียงชั้นเดียว และถอนเงินสดหรือใช้บัตร Visa Electron ในต่างประเทศ ซึ่งสถาบันการเงินและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายสามารถสกัดกั้นได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อคนร้ายได้รับเงินจำนวนมากขึ้น พวกเขาก็พัฒนารูปแบบการฟอกเงินให้ซับซ้อนขึ้น จากบัญชีม้าชั้นเดียวไปสู่หลายชั้น และล่าสุดคือการใช้ Cryptocurrency
พ.ต.อ.สีหนาท ได้ชี้แจงถึงวิธีการที่คนร้ายใช้คริปโตเคอร์เรนซีในการฟอกเงิน ซึ่งแบ่งเป็น 3 วิธีหลัก ทั้งขาออกและขาเข้า
1. ผ่านบริษัทคริปโตที่ได้รับอนุญาต:
เงินจากบัญชีม้าหลายทอด (เทีย 1 ถึง เทีย 6-7) จะถูกโอนเข้าบัญชีวอลเล็ตของคนร้ายที่เปิดไว้กับบริษัทคริปโตที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จากนั้นเงินจะถูกขายเป็นสกุลเงินดิจิทัลอื่น เช่น UST และไหลออกสู่ระบบ ทำให้ติดตามได้ยาก
2. ผ่านบริษัทคริปโตที่ไม่ได้รับอนุญาต:
คล้ายกับวิธีแรก แต่คนร้ายจะเปิดบัญชีวอลเล็ตกับบริษัทคริปโตที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งปัจจุบันมีอยู่เป็นจำนวนมากและยังคงดำเนินการอยู่ ในวนมากยังคงมีช่องทางเหล่านี้
3. แบบ Peer-to-Peer (Hand-to-Hand):
คนร้ายอาจแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซีโดยตรงกับบุคคลอื่น เช่น นัดพบกันเพื่อโอนรหัสวอลเล็ตหรือข้อมูลให้กัน สามารถส่งมอบให้กันผ่านทรัมไดร์ฟ ซึ่งเป็นวิธีที่ยากต่อการป้องกันและติดตาม
เงินที่ฟอกออกไปแล้วสามารถกลับเข้ามาในประเทศได้ในลักษณะคล้ายกัน โดยผู้ถือคริปโตฯ จะนำมาขายให้กับบริษัทคริปโตฯ (ทั้งที่ได้รับอนุญาตและไม่ได้รับอนุญาต) แล้วแปลงเป็นเงินบาทเข้าบัญชีบุคคล หรือโอนให้บุคคลอื่น นอกจากนี้ คริปโตฯ ยังสามารถนำมาใช้ซื้อสินค้าและบริการในประเทศได้โดยตรง เช่น ทองคำ บ้าน รถยนต์ หากผู้รับ (Merchant) ยินดีรับชำระเป็นคริปโตฯ
พ.ต.อ.สีหนาท ได้เสนอแนวทางป้องกันที่ต้องเริ่มจาก "ต้นน้ำ" คือสถาบันการเงินและบริษัทคริปโตที่ถูกกฎหมาย และ "ปลายน้ำ" คือการปราบปรามคริปโตเถื่อน
1. ธนาคาร:
ต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (Customer Due Diligence หรือ CDD) พ.ศ. 2563 อย่างเคร่งครัด ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล ธนาคารต้องบริหารความเสี่ยงและตรวจสอบที่มาของเงินในบัญชีลูกค้าที่ผิดปกติ เช่น บัญชีแม่ค้าไก่ย่างที่มีเงินเข้า 2 ล้านบาท แทนที่จะเป็นหลักร้อยหลักพัน หากลูกค้าไม่สามารถชี้แจงได้ ธนาคารมีอำนาจปฏิเสธธุรกรรมหรือยุติความสัมพันธ์ตามกฎกระทรวงข้อ 17 และ 23 หากธนาคารปฏิบัติอย่างจริงจัง ก็จะสามารถระงับเหตุได้ตั้งแต่ต้นทาง และหยุดยั้งการโอนเงินผ่านบัญชีม้าหลายชั้น
2. บริษัทคริปโตที่ถูกกฎหมาย:
ต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวง CDD เช่นเดียวกับธนาคาร โดยตรวจสอบที่มาของเงินที่เข้าบัญชีวอลเล็ตของลูกค้าก่อนการเทรด แม้การทำธุรกรรมจะรวดเร็วระดับวินาที แต่ต้องมีมาตรการป้องกัน
3. ปราบปรามคริปโตเถื่อน:
พ.ต.อ.สีหนาท เน้นย้ำว่า "คริปโตเถื่อนต้องไม่มีในประเทศไทย" ซึ่งปัจจุบันยังมีแพลตฟอร์มเหล่านี้อยู่จำนวนมาก และยังคงประกอบธุรกิจอย่างเฟื่องฟู ซึ่งในประเทศไทยมี ก.ล.ต. เป็นหน่วยงานกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลตาม พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561
ปัจจุบัน ก.ล.ต. ยังประสบปัญหาด้านกฎหมายในการดำเนินการกับบริษัทคริปโตที่ไม่ได้รับอนุญาต แม้จะมีความพยายามแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ฉบับที่ 2
พ.ต.อ.สีหนาท ระบุว่าขณะนี้ประเทศไทยกำลังมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติม เพื่ออุดช่องโหว่และเพิ่มความรัดกุมในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินที่ใช้คริปโตฯ เป็นช่องทางการหลอกลวงและการฟอกเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัลเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ทั้งในรูปแบบของการส่งเงินออกและรับเงินเข้าประเทศ