ตลาดหุ้นไทยภาคเช้ายืนแดนลบ 1,107.07 จุด KTC-BEC ราคาพลิกบวกอ่อนๆ
เปิดการซื้อขายภาคเช้า ตลาดหุ้นไทยย่อตัวลงยืน 1,107.07 จุด ลดลง 0.62 จุด มูลค่าซื้อขาย 3.3 พันล้าน พบ KTC-BEC วันนี้กลับมาบวกได้อ่อนๆ โบรกมองดัชนีแกว่งตัวตามกรอบ 1,100 - 1,120 จุด
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวันนี้ 26 มิ.ย.68 เวลา 10.02 น. เปิดตลาดการซื้อขายภาคเช้าดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,107.07 จุด ลดลง 0.62 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 0.06% กรอบการแกว่งตัวที่ระดับสูงสุดและต่ำสุดที่ระดับ 1,107.32 - 1,104.75 จุด โดยมีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 3,291.54 ล้านบาท
5 หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด
- KTC ราคา 27.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 1.89% มูลค่าซื้อขาย 769.19 ล้านบาท
- KBANK ราคา 155.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 0.32% มูลค่าซื้อขาย 296.78 ล้านบาท
- SCB ราคา 119.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 0.42% มูลค่าซื้อขาย 255.13 ล้านบาท
- BEC ราคา 2.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.17 บาท หรือ 9.29% มูลค่าซื้อขาย 162.28 ล้านบาท
- ADVANC ราคา 279.00 บาท โดยราคาไม่มีการเปลี่ยนแปลง มูลค่าซื้อขาย 142.06 ล้านบาท
SET แกว่งกรอบ 1,100 - 1,120 จุด
บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุว่า คาด SET Index แกว่งตามกรอบ 1,100 - 1,120 จุด สภาพแวดล้อมโดยรวมเป็นกลาง-บวกอ่อนๆ จากการประชุม กนง. ส่งสัญญาณ Dovish Hold สถานการณ์ตะวันออกกลางเริ่มนิ่ง
โดยผลการประชุม กนง. วานนี้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยฯ ที่ 1.75% เพื่อรักษา Policy Space ซึ่งถือเป็นไปตามคาดของทางฝ่ายและ Consensus นอกจากนี้ กนง.ได้ปรับ GDP ปี 68 ขึ้นเป็น +2.3% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน จากเดือน เม.ย.68 คาด +2.0% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจไตรมาส 1/68 ขยายตัวได้ดีกว่า กนง.ประเมิน เนื่องจากภาคผลิตและการเร่งส่งออก อย่างไรก็ดี คาดครึ่งหลังปี 68 มีแนวโน้มที่เศรษฐกิจชะลอลงจากความไม่แน่นอนทั้ง
ปัจจัยทั้งภายนอกและภายในประเทศ พร้อมเปิดช่องดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายตามความเหมาะสมของความเสี่ยงเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ในมุมของเราคาด กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยฯในการประชุมรอบหน้า 0.25% มาที่ 1.5% เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวลงและเมื่อถึงตอนนั้น น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับนโยบายภาษีสหรัฐฯ และการเมืองในประเทศ ส่วนผลต่อตลาดหุ้นวันนี้คาดมีไม่มาก เนื่องจากการปรับขึ้นไปวานนี้บ้างแล้ว
วานนี้ รมช.คมนาคมเผยรัฐบาลเตรียมเสนอเลื่อนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์ เราเชื่อว่าสาเหตุหนึ่งเพื่อลดกระแสความไม่เห็นด้วยทั้งใน/นอกสภา ระยะถัดไปเราเชื่อว่ารัฐบาลจะเร่งขับเคลื่อนนโยบายเรือธงอื่นๆ มาทดแทนเพื่อฟื้นกระแสคะแนนนิยมพรรคเพื่อไทย
ซึ่งหนึ่งในโครงการที่น่าจะเร่งผลักดัน คือ โครงการรถไฟฟ้า 20 บาท ซึ่งสอดคล้องไปกับความเห็นของคมนาคมที่จะเร่งผลักดันร่างกฎหมายต่างๆ ผ่านในสภา ส.ส. และ ส.ว. โดยมีเดดไลน์ในเดือน ก.ย.-ต.ค. 68 ซึ่งเราชอบ BEM ที่หากระยะยาวรัฐบาลซื้อสัมปทานคืนจะช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ยฯ และเพิ่มปันผลให้ผู้ถิอหุ้น