ทุนไหลออกตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทองคำ-พันธบัตรพุ่ง! ไทยรับอานิสงส์

17 เม.ย. 2568 | 23:30 น.

กูรูชี้เงินทุนโลกผันผวน สงครามการค้ากลายร่างเป็นสงครามการเงิน นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง หันเข้าทองคำ-พันธบัตร หนุนตลาดเกิดใหม่

ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บริษัท ทรีนีตี้วัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ TNITY ได้ให้มุมมองกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากสถานการณ์สงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน ทั้งผู้นำสหรัฐฯ และจีน ดูเหมือนว่าจะงัดข้อกันต่อไปอย่างยืดเยื้อ ทำให้ภาพหลังจากนี้จะแปลเปลี่ยนเป็น "สงครามการเงิน"

จากปัจจัยกดดันกล่าวทำให้เหล่าประเทศพัฒนาแล้ว ทั้งญี่ปุ่นและจีน ที่ถูกขึ้นภาษีนำเข้าในระดับที่สูง กระหน่ำเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ ออกมาอย่างต่อเนื่อง จากนักลงทุนเริ่มเคลื่อนย้ายเงินไปยังสินทรัพย์ปลอดภัยอื่นๆ แทน โดยเฉพาะทองคำ ซึ่งจะเห็นได้ว่าราคาทองคำทะลุทำสถิติใหม่สูงสุดในปัจจุบัน

ขณะเดียวกันนับตั้งแต่เดือนมีนาคม และต่อเนื่องมาจนถึงกลางเดือนเมษายน 2568 สังเกตได้ว่ากระแสเงินทุนยังไหลออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง โดยเม็ดเงินส่วนใหญ่หันเหไปยังสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ แต่ที่น่าสนใจคือ เม็ดเงินลงทุนฝั่งสหรัฐฯ ไหลเข้ามายังแถบภูมิภาคเอเชียเพิ่มมากขึ้น

หากย้อนกลับมาดูในตลาดหุ้นไทยแม้ว่ากระแสเงินลงทุนต่างชาติจะมีปริมาณการขายสุทธิลงมาอยู่ที่ราว 4.6 หมื่นล้านบาทในไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งลดลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน แต่จะเห็นได้ว่าถึงไม่ได้ขายออกเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่ได้กลับเข้ามา

ในทางกลับกับเม็ดเงินลงทุนดังกล่าวกลับไหลเข้าพันธบัตรรัฐบาลไทย มูลค่ารวมกว่า 5.6 หมื่นล้านบาท ส่วนตัวมองว่าเป็นเพราะเรื่องของผลตอบแทน และด้วยแนวโน้มการขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ในช่วงที่เหลือของปีนี้จะมีออกมาอย่างต่อเนื่อง

"ทำให้มองว่าในช่วงที่เหลือของปี 2568 นี้ มีโอกาสสูงที่เม็ดเงินจะไหลเข้ามายังสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ รวมไปถึงพันธบัตรกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Markets) และยุโรป เพิ่มเติม"

สงครามการค้ายืดเยื้อ

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีความเสี่ยงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับนานาประเทศ แม้ล่าสุดจะสั่งระงับเกือบทุกประเทศเป็นเวลา 90 วัน ยกเว้นจีน แต่เมื่อเป็นทรัมป์แล้วอะไรก็มักจะเกิดขึ้นได้

ในขณะที่กำแพงภาษีระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ก็ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลก เทียบจากสถิติการเกิดสงครามการค้าทำให้ GDP ทั่วโลกปรับลง นโยบายการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงการตอบโต้ของประเทศเศรษฐกิจหลัก จะส่งผลต่อภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ การเงิน และการค้าโลกอย่างมีนัยสำคัญ

โดยผลกระทบจะส่งผ่านมายังเศรษฐกิจไทยในหลายช่องทาง และใช้เวลากว่าจะเห็นผลที่ชัดเจน ในระยะสั้น ตลาดการเงินผันผวนขึ้น เริ่มเห็นการผลิต การค้า และการลงทุนบางส่วนชะลอเพื่อรอความชัดเจน ขณะที่จะเห็นผลของนโยบายภาษีตอบโต้ของทรัมป์ต่อการส่งออกมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 นี้

"การเจรจากับสหรัฐฯของไทย อาจไม่ได้คาดหวังอะไรได้มากนักเพราะเชื่อว่าการต่อรองจะใช้ระยะเวลาและสินค้าที่สหรัฐฯ ส่งออกมายังประเทศไทยประกอบไปด้วยเครื่องจักรกล คอมพิวเตอร์ 30% เคมีภัณฑ์ 20% ยานยนต์ และชิ้นส่วน 15% ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสินค้าขนาดใหญ่/ราคาสูง ทำให้การนำเข้าจากสหรัฐฯ อาจมิได้สูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ด้วยกำลังซื้อภายในประเทศที่อ่อนแอ เพราะไทยยังติดกับดักรายได้ปานกลาง"

นอกจากนี้ ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา (11 เม.ย.68) จีนได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯเป็น 125% จากเดิมที่ระดับ 84% แต่อย่างไรก็ตามในช่วงวันหยุดสงกรานต์สำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนักได้ออกมารายงานว่าสหรัฐฯ ชะลอการเก็บภาษีสินค้าจำพวกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ Smart Phone

หลังจากนั้น ทรัมป์ก็ได้ออกมาระบุว่า การยกเว้นภาษีข้างต้นเป็นเพียงชั่วคราว พร้อมกับสร้างความสับสนให้กับตลาด ทำให้ท้ายที่สุดแล้ววันจันทร์ตลาดหุ้น Dow Jones ราคาเปิดใกล้เคียงกับราคาปิด สะท้อนถึงความไม่มั่นใจของนักลงทุน

โดยพบว่าเงินยังคงไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ พันธบัตร, ทองคำ โดยที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงอ่อนค่าลงต่อเนื่อง สะท้อนมุมมองเชิงลบเกี่ยวกับสหรัฐฯ

"ด้วยปัจจัยทั้งหมดทั้งปวงแล้วน่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยยังมี Upside จำกัด โดย SET Index อาจได้จิตวิทยาเชิงบวกจากการปรับขึ้นของตลาดหุ้นในช่วงวันหยุดสงกรานต์ แต่ก็อาจยังไปได้ไม่ไกลมากนัก เพราะยังต้องรอความชัดเจนจากนโยบายภาษีและผลประกอบการไตรมาส 1/2568 ที่จะทยอยรายงานออกมาหลังจากนี้"

สัปดาห์นี้ (16-18 เม.ย.68) ปัจจัยติดตาม ได้แก่

  1. ยอดค้าปลีกของสหรัฐฯในคืนวันพุธตามเวลาประเทศไทย Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 1.4% จากเดือนก่อน
  2. การแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในคืนวันพฤหัสบดี (12.30 AM) และสุดท้ายผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯในช่วง 19.30 วันพฤหัสบดี ตามเวลาประเทศไทย Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 2.25 แสนราย

โดยปัจจัยด้านดอกเบี้ยพบว่า CME FED Watch ประเมินว่า FED จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ หากส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยต่อเนื่องประเมินเป็นปัจจัยหนุนต่อตลาด

แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่สำคัญกว่าทิศทางดอกเบี้ยก็คือการค้าสหรัฐฯกับนานาประเทศ ตราบใดที่สงครามการค้ายังดำเนินต่อไปจะสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลกและกำไรบริษัทจดทะเบียนหรืออาจถึงขั้นเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะหดตัวก็เป็นไปได้