วอลุ่มเทรด SET เดือนมี.ค. หด 30.2% เหลือ 4.27 หมื่นล้าน

09 เม.ย. 2567 | 10:30 น.
อัปเดตล่าสุด :09 เม.ย. 2567 | 11:28 น.

ดัชนี SET Index เดือนมี.ค.67 ปิดที่ 1,377.94 จุด ลดลง 2.7% จากสิ้นปีก่อนหน้า วอลุ่มเทรดเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 4.27 หมื่นล้าน ลด 30.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ต่างชาติกลับมาขายสุทธิ 4.12 หมื่นล้าน

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในเดือนมีนาคม 2567 การประชุมสองสภาของจีนได้ตั้งเป้าการเติบโต GDP ในปี 2567 อยู่ที่ 5% อีกทั้งทางการจีนได้เผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เดือนมีนาคม เพิ่มเป็น 50.8 จากระดับ 49.1 ในเดือนกุมภาพันธ์ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ เป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 ซึ่งเป็นช่วงหลังยกเลิกมาตรการคุมเข้มโควิด-19

โดยการกลับมาเติบโตของเศรษฐกิจจีนจะยิ่งสนับสนุนให้การส่งออกสินค้าและบริการของไทย รวมถึงการบริโภคภายในประเทศให้ฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น โดยนักวิเคราะห์เริ่มปรับประมาณการกำไรของบริษัทในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ในขณะที่ราคาหลักทรัพย์กลุ่มดังกล่าวให้ผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด

 

โดยภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงเดือนมีนาคม 2567 ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,377.94 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก่อนหน้าซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค ทั้งนี้ ปรับลดลง 2.7% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 42,782 ล้านบาท ลดลง 30.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ผู้ลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิหลังจากซื้อสุทธิในเดือนก่อนหน้า โดยในเดือนมีนาคม 2567 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 41,238 ล้านบาท

ส่งผลให้ใน 3 เดือนแรกของปีนี้ ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 68,862 ล้านบาท โดยผู้ลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 23 ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม 2567 ที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มบริการ กลุ่มการเงิน และ กลุ่มทรัพยากร และมีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น (BKGI)

ขณะที่ Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 14.6 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.5 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 16.7 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.5 เท่า โดยที่อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 3.30% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.23% เป็นต้น

ในส่วนของตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ในเดือนมีนาคม 2567 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 499,897 สัญญา เพิ่มขึ้น 26.9% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ SET50 Index Futures และ Single Stock Futures และในไตรมาส 1/2567 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 432,895 สัญญา ลดลง 27.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสแรกปี 2567 เศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณชะลอตัวลง แม้ว่าจะยังไม่เข้าสู่สภาวะถดถอย แต่อัตราเงินเฟ้อไม่ได้ลดลงตามที่ธนาคารกลางหลายแห่งคาดหวัง ทำให้ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของแต่ละประเทศแตกต่างกันไป โดยตัวเลขของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ล่าสุด การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น และ อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ มีส่วนทำให้เงินเฟ้อชะลอตัวลงช้ากว่าที่นักวิเคราะห์คาด

แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ได้ประกาศว่ายังมีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2567 นี้ แต่ผู้ลงทุนกังวลว่า FED อาจชะลอการลดดอกเบี้ยออกไป ส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า นอกจากนี้ ยังเห็นสัญญาณเงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะในหุ้นขนาดใหญ่ ในขณะที่หุ้นขนาดกลางและเล็กได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนมากยิ่งขึ้น