บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยซบเซาอย่างหนัก จากมูลค่าซื้อขาย (วอลุ่มเทรด) ที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยไตรมาสแรกปี 2567 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยเพียงวันละ 4.38 หมื่นล้านบาท บางวันมูลค่าการซื้อขายเบาบางมากเหลือเพียง 2.50 หมื่นล้านบาทเท่านั้น หากเทียบกับ 5 ปีย้อนหลังพบว่า มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยประมาณ 6.49 หมื่นล้านบาท/วัน บางวันเคยทำสถิติสูงสุดที่ 2.04 แสนล้านบาท
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า มูลค่าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่เปิดต้นปี 2567 มาจนถึงปัจจุบันตกเฉลี่ยอยู่ที่ราว 4.4 หมื่นล้านบาท/วัน ซึ่งหลักๆมองว่า เป็นผลมาจากความเชื่อมันของนักลงทุน ซึ่งถือว่าเป็น “หัวใจสำคัญ” ทำให้วอลุ่มเทรดหายออกไปจาก SET
“ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า SET ในขณะนี้อยู่ในสภาวะ “ความไม่เท่าเทียม” ในการเทรด ทั้งเรื่องของการเกิด Naked Short Selling ที่ก็ยังไม่เห็นมาตรการดูแลที่ถูกจุด รวมถึงประเด็น Program Trading (PT) ที่ภาครัฐได้มีเปิดตัวเลขออกมาว่า ปริมาณการเทรดของ PT ไม่ต่ำกว่า 40% ของปริมาณการเทรดทั้งหมดของ SET ในปัจจุบัน บางวัน PT มีสัดส่วนสูงเกินกว่า 50% สะท้อนให้เห็นถึงว่า PT เข้ามามีบทบาทที่อาจเยอะมากจนเกินไป ทำให้ไม่เพียงรายย่อยที่โดนผลกระทบ แต่รวมไปถึงรายใหญ่ด้วยที่ออกปากบ่นว่าเหมือนกำลังสู้กับ PT”
ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ ล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้วอลุ่มเทรดเหือดแห้งและหายไปในปัจจุบัน และทำให้คนเริ่มออกจาก SET ไปในที่สุด ขณะเดียวกัน สัญญาณทางเศรษฐกิจปี 2567 ที่ปลายปีก่อนหน้า ตลาดเคยคาดหวังกันไว้ว่าตัวเลข GDP ปีนี้อาจเติบโตขึ้นในระดับ 3% หรืออาจสูงถึง 4% แต่ด้วยการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า การเบิกจ่ายงบประมาณที่ชะลอแล้วชะลออีก ทำให้ GDP ปีนี้ลดเหลือ 2% กว่าๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่มีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมา ที่ครั้งนี้เต็มไปด้วยความคาดหวังสูง แต่นับตั้งแต่ปลายปี 2566 จนถึงไตรมาสแรกปีนี้ ก็ยังไม่เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็น “ยาแรง” เข้ามากอบกู้เศรษฐกิจได้ มีเพียง Easy E-Receipt ที่เข้ามาช่วยได้บ้างเล็กน้อย
นอกนั้นยังไม่เจอไม้เด็ดอะไร ทำให้ไม่เอื้อต่อโมเมนตัมในการลงทุน หากเปรียบเทียบตัวตัวเลขการเติบโตของ GDP ตลาดเพื่อบ้านในภูมิภาคเดียวกัน ที่สูงมากกว่า 4% ก็ต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจไทย “ไม่เซ็กซี่” เท่า ความน่าสนใจจึงลดลง
ขณะเดียวกันโครงสร้างของ SET ก็ยังเดิมๆ หน้าหุ้น IPO ที่เข้ามาก็เดิมๆ ไม่น่าตื่นเต้น น่าสนใจ หากไปเทียบกับกับตลาดสหรัฐอเมริกาที่ค่อนข้างมีความหลากหลายของธุรกิจและอุตสาหกรรม มีความว้าวมากกว่า ส่งผลให้นักลงทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศเริ่มทยอยตัดหุ้นออกจาก SET ไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ มอง Valuation SET เทรดปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 14 เท่า เทียบกับในอดีตที่ 16-17 เท่า ถือว่าถูกมาก แต่ถูกอย่างเดียวคงไม่ได้มันต้องมีอัตราการเติบโตที่ดีด้วย กำไรต้องไม่ถอยหลังลงคลอง
อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ดัชนี SET Index ขณะนี้้พร้อมที่จะปรับขึ้นแล้ว เพราะหุ้นขนาดใหญ่ลงมาอยู่โซนล่างกันหมดแล้ว หากสามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้ เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ (Fund Flow) ก็จะไหลกลับมามากขึ้น ซึ่งด้วยพฤติกรรมการกลับมาของเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติจะเข้าหุ้นใหญ่พร้อมๆ กัน จึงคาดว่า จะเข้ามาช่วยดัน P/E ให้ขยับขึ้น 1-2 เท่าได้ไม่ใช่เรื่องยาก
ทั้งนี้ในช่วงไตรมาส 1/2567 Fund Flow ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยไปแล้วกว่า 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ไหลออกมาเลเชีย 180 ล้านเหรียญ สวนทางกับตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคที่ล้วนเป็นบวกทั้งหมด โดยเฉพาะญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวันที่เงินทุนต่างชาติยังเข้าต่อเนื่อง
สำหรับทิศทางไตรมาส 2/2567 ประเมินกรอบดัชนี SET Index ไว้ที่แนวต้านสำคัญที่ 1400 จุด และหากว่า ผ่านไปได้ก็มีโอกาสที่จะไปชนที่แนวต้านถัดไปที่ระดับ 1430 จุด ขณะที่แนวรับ มองว่าโซน 1350 จุด ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดเดิมที่เคยทำมาในช่วงระหว่างเปิดต้นปีถึงปัจจุบัน และยังคงเป็นแนวต้านที่แข็งแกร่ง
“หากความเชื่อมั่นยังไม่กลับมา และยังไม่เห็นยาแรงกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมตลาดยังเรียกความเชื่อใจจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศไม่ได้ SET Index ก็อาจไปทำจุดต่ำสุดที่ 1300 จุด” นายวิจิตร กล่าวทิ้งท้าย
หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 44 ฉบับที่ 3,981 วันที่ 7 - 10 เมษายน พ.ศ. 2567