ตลาดหุ้นไทยซบหนัก วอลุ่มเทรดเหลือเฉลี่ยวันละ 4หมื่นล้าน

09 เม.ย. 2567 | 10:30 น.
อัปเดตล่าสุด :09 เม.ย. 2567 | 10:31 น.

หุ้นไทยซบเซาอย่างหนัก วอลุ่มเทรดไตรมาสแรกปี 67 เหลือวันละ 4 หมื่นล้านบาท บางวันเบาบางเพียง 2.5 หมื่นล้าน โบรกมองผลจากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น จากความไม่เท่าเทียมในตลาด ซ้ำไม่เห็นยาแรงกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล 

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยซบเซาอย่างหนัก จากมูลค่าซื้อขาย (วอลุ่มเทรด) ที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยไตรมาสแรกปี 2567 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยเพียงวันละ 4.38 หมื่นล้านบาท บางวันมูลค่าการซื้อขายเบาบางมากเหลือเพียง 2.50 หมื่นล้านบาทเท่านั้น หากเทียบกับ 5 ปีย้อนหลังพบว่า มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยประมาณ 6.49 หมื่นล้านบาท/วัน บางวันเคยทำสถิติสูงสุดที่ 2.04 แสนล้านบาท 

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า มูลค่าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่เปิดต้นปี 2567 มาจนถึงปัจจุบันตกเฉลี่ยอยู่ที่ราว 4.4 หมื่นล้านบาท/วัน ซึ่งหลักๆมองว่า เป็นผลมาจากความเชื่อมันของนักลงทุน ซึ่งถือว่าเป็น “หัวใจสำคัญ” ทำให้วอลุ่มเทรดหายออกไปจาก SET

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด

“ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า SET ในขณะนี้อยู่ในสภาวะ “ความไม่เท่าเทียม” ในการเทรด ทั้งเรื่องของการเกิด Naked Short Selling ที่ก็ยังไม่เห็นมาตรการดูแลที่ถูกจุด รวมถึงประเด็น Program Trading (PT) ที่ภาครัฐได้มีเปิดตัวเลขออกมาว่า ปริมาณการเทรดของ PT ไม่ต่ำกว่า 40% ของปริมาณการเทรดทั้งหมดของ SET ในปัจจุบัน บางวัน PT มีสัดส่วนสูงเกินกว่า 50% สะท้อนให้เห็นถึงว่า PT เข้ามามีบทบาทที่อาจเยอะมากจนเกินไป ทำให้ไม่เพียงรายย่อยที่โดนผลกระทบ แต่รวมไปถึงรายใหญ่ด้วยที่ออกปากบ่นว่าเหมือนกำลังสู้กับ PT”  

ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ ล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้วอลุ่มเทรดเหือดแห้งและหายไปในปัจจุบัน และทำให้คนเริ่มออกจาก SET ไปในที่สุด ขณะเดียวกัน สัญญาณทางเศรษฐกิจปี 2567 ที่ปลายปีก่อนหน้า ตลาดเคยคาดหวังกันไว้ว่าตัวเลข GDP ปีนี้อาจเติบโตขึ้นในระดับ 3% หรืออาจสูงถึง 4% แต่ด้วยการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า การเบิกจ่ายงบประมาณที่ชะลอแล้วชะลออีก ทำให้ GDP ปีนี้ลดเหลือ 2% กว่าๆ เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่มีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมา ที่ครั้งนี้เต็มไปด้วยความคาดหวังสูง แต่นับตั้งแต่ปลายปี 2566 จนถึงไตรมาสแรกปีนี้ ก็ยังไม่เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็น “ยาแรง” เข้ามากอบกู้เศรษฐกิจได้ มีเพียง Easy E-Receipt ที่เข้ามาช่วยได้บ้างเล็กน้อย

นอกนั้นยังไม่เจอไม้เด็ดอะไร ทำให้ไม่เอื้อต่อโมเมนตัมในการลงทุน หากเปรียบเทียบตัวตัวเลขการเติบโตของ GDP ตลาดเพื่อบ้านในภูมิภาคเดียวกัน ที่สูงมากกว่า 4% ก็ต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจไทย “ไม่เซ็กซี่” เท่า ความน่าสนใจจึงลดลง 

ขณะเดียวกันโครงสร้างของ SET ก็ยังเดิมๆ หน้าหุ้น IPO ที่เข้ามาก็เดิมๆ ไม่น่าตื่นเต้น น่าสนใจ หากไปเทียบกับกับตลาดสหรัฐอเมริกาที่ค่อนข้างมีความหลากหลายของธุรกิจและอุตสาหกรรม มีความว้าวมากกว่า ส่งผลให้นักลงทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศเริ่มทยอยตัดหุ้นออกจาก SET ไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ มอง Valuation SET เทรดปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 14 เท่า เทียบกับในอดีตที่ 16-17 เท่า ถือว่าถูกมาก แต่ถูกอย่างเดียวคงไม่ได้มันต้องมีอัตราการเติบโตที่ดีด้วย กำไรต้องไม่ถอยหลังลงคลอง

อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ดัชนี SET Index ขณะนี้้พร้อมที่จะปรับขึ้นแล้ว เพราะหุ้นขนาดใหญ่ลงมาอยู่โซนล่างกันหมดแล้ว หากสามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้ เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ (Fund Flow) ก็จะไหลกลับมามากขึ้น ซึ่งด้วยพฤติกรรมการกลับมาของเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติจะเข้าหุ้นใหญ่พร้อมๆ กัน จึงคาดว่า จะเข้ามาช่วยดัน P/E ให้ขยับขึ้น 1-2 เท่าได้ไม่ใช่เรื่องยาก 

ทั้งนี้ในช่วงไตรมาส 1/2567 Fund Flow ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยไปแล้วกว่า 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ไหลออกมาเลเชีย 180 ล้านเหรียญ สวนทางกับตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคที่ล้วนเป็นบวกทั้งหมด โดยเฉพาะญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวันที่เงินทุนต่างชาติยังเข้าต่อเนื่อง  

สำหรับทิศทางไตรมาส 2/2567 ประเมินกรอบดัชนี SET Index ไว้ที่แนวต้านสำคัญที่ 1400 จุด และหากว่า ผ่านไปได้ก็มีโอกาสที่จะไปชนที่แนวต้านถัดไปที่ระดับ 1430 จุด ขณะที่แนวรับ มองว่าโซน 1350 จุด ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดเดิมที่เคยทำมาในช่วงระหว่างเปิดต้นปีถึงปัจจุบัน และยังคงเป็นแนวต้านที่แข็งแกร่ง 

“หากความเชื่อมั่นยังไม่กลับมา และยังไม่เห็นยาแรงกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมตลาดยังเรียกความเชื่อใจจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศไม่ได้ SET Index ก็อาจไปทำจุดต่ำสุดที่ 1300 จุด” นายวิจิตร กล่าวทิ้งท้าย

หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 44 ฉบับที่ 3,981 วันที่ 7 - 10 เมษายน พ.ศ. 2567