นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด (บลจ.ไทยพาณิชย์) หรือ SCBAM เปิดเผยว่า บริษัทฯออกและเสนอขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Double Structured Complex Return 1YF ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย หรือ กองทุน SCBDSHARC1YF โดยจะเปิดขายหน่วยลงทุนเพียงครั้งเดียวระหว่างวันที่ 18-30 มกราคม 2566 เริ่มต้นลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท
กองทุน Complex Fund อายุ 1 ปีจะสามารถช่วยลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของการลงทุนและมีโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้คุณภาพดีทั้งในประเทศ และ/หรือ ต่างประเทศ 98.50% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน(NAV) โดยมีเป้าหมายให้เงินลงทุนส่วนนี้เติบโตครอบคลุมเงินต้นและนำเงินลงทุนอีก 1.50%ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เข้าลงทุนในสัญญาออปชั่น (Option) หรือสัญญาวอร์แรนท์ (Warrant) ที่อ้างอิงกับการเคลื่อนไหวของดัชนี SET50
ทั้งนี้แม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2566 ยังมีสภาวะการเงินที่ตึงตัวและความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯและยุโรปยังอยู่ในจุดที่ยังต้องเฝ้าระวัง แต่บริษัทฯ มองว่า ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้จากการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างตราสารหนี้ ที่มีความเสี่ยงจากการลงทุนที่เริ่มลดลงตามสัญญาณของอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง
สะท้อนจากเดือนธันวาคม 2565 ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ (CPI) ของสหรัฐฯ ขยายตัว 6.5%YoY ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัว 7.1%YoY และ -0.1% MoM นับเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 2 ปีครึ่ง อาจเป็นการส่งสัญญาณว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯ ได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว
ดังนั้นหาก CPI มีทิศทางการอ่อนตัวที่ชัดเจน ก็มีโอกาสที่ FED จะชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย และหากอัตราดอกเบี้ยเริ่มทรงตัว ตลาดตราสารหนี้จะมีโอกาสกลับมาสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะข้างหน้าได้
สำหรับตลาดหุ้นที่บริษัทฯมองว่า ยังมีศักยภาพการเติบโตคือ ตลาดหุ้นไทยที่เริ่มมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/65 จากการผ่อนปรนมาตรการการเดินทางและเปิดประเทศ ทำให้ภาคท่องเที่ยวเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญต่อการฟื้นตัว และการส่งต่อกำลังซื้อและการเติบโตไปสู่ภาคส่วนอื่น ๆ เช่น ภาคบริการ ภาคขนส่ง
นอกจากนี้ไทยยังได้รับอานิสงค์จากการเปิดประเทศของจีนที่เกิดขึ้นเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ต้องการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ มาเป็นปัจจัยเสริมและหนุนการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆเพิ่มเติม
เช่น กลุ่มค้าปลีก, โรงแรม, วัสดุก่อสร้าง, รับเหมาก่อสร้างและธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 Index ซึ่งมีความได้เปรียบเชิงการแข่งขันระยะยาว และในภาวะปกติจะมีความแน่นอนของผลประกอบการของธุรกิจสูง มีส่วนแบ่งการตลาดและการบริหารต้นทุนที่ดี จึงทำให้ตลาดหุ้นไทยยังคงน่าลงทุนอยู่ไม่น้อย