ธปท. ผนึกคลัง ลุย ‘SMEs Credit Boost’ หนุนแบงก์ปล่อยสินเชื่อใหม่ 1 แสนล้าน

26 ธ.ค. 2568 | 08:41 น.
อัปเดตล่าสุด :26 ธ.ค. 2568 | 08:48 น.

ธปท. ผนึก 'คลัง-ธนาคารพาณิชย์' ลุยค้ำประกันสินเชื่อ ‘SMEs Credit Boost’ 2 หมื่นล้าน เพิ่มโอกาสธุรกิจเข้าถึงแหล่งทุน หนุนปล่อยสินเชื่อใหม่ 1 แสนล้านบาท

KEY

POINTS

  • ธปท. และกระทรวงการคลังร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์จัดตั้งโครงการ ‘SMEs Credit Boost’ เพื่อแก้ปัญหาสินเชื่อธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ที่หดตัวต่อเนื่อง
  • มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการปล่อยสินเชื่อใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 100,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 1-2 ปี
  • ใช้กลไกค้ำประกันความเสี่ยงสำหรับสินเชื่อใหม่ โดยใช้งบประมาณ 20,000 ล้านบาท ที่มาจากการปรับลดเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF 
  • มุ่งเน้นช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มธุรกิจเป้าหมาย 

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภายใต้ภาวะที่เศรษฐกิจไทยเติบโตช้า หนึ่งในปัญหาเชิงโครงสร้างสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข คือ การหดตัวต่อเนื่องของสินเชื่อธุรกิจ โดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs ที่ติดลบ 13 ไตรมาสติดต่อกัน จากทั้งความต้องการสินเชื่อธุรกิจที่ลดลง และความระมัดระวังของธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยสินเชื่อเพราะต้นทุนความเสี่ยงด้านเครดิต (credit cost) เพิ่มขึ้น 

ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนให้สินเชื่อธุรกิจกลับมาขยายตัวได้และช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จึงร่วมกันผลักดัน ‘โครงการกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ : SMEs Credit Boost’ ที่เป็นกลไกค้ำประกันความเสี่ยงสำหรับ ‘สินเชื่อใหม่’ ที่ธนาคารพาณิชย์ปล่อยให้ธุรกิจกลุ่มเป้าหมาย 

สำหรับงบประมาณของโครงการจะมาจากการปรับลดเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ปี 2569 ของธนาคารพาณิชย์ประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อนำมาจัดตั้งเป็นกลไกค้ำประกันสินเชื่อ ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้มีสินเชื่อปล่อยใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 100,000 ล้านบาท ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า

สำหรับโครงการกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ : SMEs Credit Boost เป็นการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาใหม่ จากการเรียนรู้ข้อจำกัดการดำเนินงานของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เริ่มโครงการได้ตั้งแต่ 15 มกราคม 2569 ระยะเวลาโครงการ 2 ปี ค้ำประกันสินเชื่อนาน 7 ปี สำหรับปล่อยสินเชื่อใหม่ ให้กับธุรกิจกลุ่มเป้าหมายครอบคลุม ดังนี้

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

  1. SMEs ในภาคธุรกิจภายใต้โครงการ Reinvent Thailand (เช่น การท่องเที่ยว การแพทย์และสุขภาพ เกษตรและเกษตรแปรรูป ยานยนต์และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และการค้า รวมถึงธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ของอุตสาหกรรมข้างต้น) และโลจิสติกส์ 
  2. SMEs และธุรกิจรายใหญ่  ที่มีแผนว่าจะนำสินเชื่อที่ได้รับไปใช้ยกระดับศักยภาพธุรกิจหรือพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน (เช่น ด้านดิจิทัลเทคโนโลยี การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมแห่งโลกอนาคต) หรือเสริมสร้างมูลค่าเพิ่ม (value added) ต่อเศรษฐกิจไทย 

ทั้งนี้ โครงการ SMEs Credit Boost ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด ‘ตรงจุด มี impact กระจาย คล่องตัว’ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 

ธปท. ผนึกคลัง ลุย ‘SMEs Credit Boost’ หนุนแบงก์ปล่อยสินเชื่อใหม่ 1 แสนล้าน

  • ตรงจุด เน้นให้สินเชื่อใหม่แก่ SMEs ในภาคธุรกิจเป้าหมาย หรือผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ เพื่อให้ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า 
  • มี impact ช่วยให้มีเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยไม่ช้า โดยกำหนดวงเงินชดเชยสูงสุด ในช่วง 15-30% (ขึ้นกับขนาดของผู้ประกอบการ) ของยอดสินเชื่อปล่อยใหม่แก่ผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายในช่วง 2 ปีนับจากวันเริ่มโครงการ ระยะเวลาการค้ำประกันสูงสุด 7 ปีนับจากวันปล่อยสินเชื่อ ซึ่งคาดว่าจะช่วยสนับสนุนให้เกิดการปล่อยสินเชื่อใหม่ประมาณ 5 เท่าของวงเงินชดเชย 
  • กระจาย เน้นช่วย SMEs และกระจายความช่วยเหลือไปยังผู้ประกอบการได้หลายราย จึงกำหนดวงเงินสินเชื่อรวมทุกธนาคารพาณิชย์สูงสุดต่อรายไม่เกิน 100 ล้านบาทสำหรับ SMEs และไม่เกิน 150 ล้านบาทสำหรับธุรกิจรายใหญ่  
  • คล่องตัว ธนาคารพาณิชย์บริหารจัดการสินเชื่อได้คล่องตัวเพราะทราบโควตาวงเงินชดเชยที่ได้รับการจัดสรรอย่างชัดเจน ณ วันปล่อยสินเชื่อ อีกทั้งยังสามารถบริหารจัดการการขอรับเงินชดเชยภายในโควตาได้สะดวก จากกระบวนการขอรับเงินชดเชยที่ไม่ซับซ้อนและไม่ต้องรองบประมาณจากภาครัฐ 

“โครงการนี้จะช่วยเสริมการดำเนินงานของโครงการค้ำประกันสินเชื่อโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยมีเป้าหมายเดียวกัน คือ การเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจเข้าถึงสินเชื่อ และสนับสนุนการยกระดับศักยภาพทางธุรกิจ อันจะส่งผลบวกไปยังการจ้างงาน การสร้างรายได้ และการลงทุน ซึ่งจะช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ระบบเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว”