กนง.จ่อออกมาตรการหนุน “ภาวะการเงิน SMEs-ครัวเรือนเปราะบาง

25 ธ.ค. 2568 | 07:06 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ธ.ค. 2568 | 07:06 น.

กนง.แจง ลดดอกเบี้ยนโยบาย ลดภาระธุรกิจ-ประชาชน-เอสเอ็มอี จ่อออกมาตรการหนุน “ภาวะการเงิน SMEs-ครัวเรือน เปราะบาง เร็วๆนี้ แจงหาทางยกศักยภาพเศรษฐกิจไทย ยอมรับ 2 ปีข้างหน้าต่ำกว่าศักยภาพ เหตุมีความเสี่ยงมากขึ้น

ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งสุดท้ายของปีถูกจับตา ซึ่งที่สุดก็ออกมาด้วยมติเอกฉันท์ ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี โดยให้มีผลทันที  

ส่งผลให้รอบปีที่ผ่าน กนง.ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาแล้วรวม 5 ครั้ง รวม 1.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.25%ต่อปี 
 

นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการกนง.ระบุว่า ภาวะการเงินที่ไม่ดีนัก เป็นตัวสำคัญที่ทำให้กนง.พิจารณาปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้ โดยเห็นว่า นโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้ ภายใต้เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวชัดเจนและมีความเสี่ยงมากขึ้น

กนง.จ่อออกมาตรการหนุน “ภาวะการเงิน SMEs-ครัวเรือนเปราะบาง

เพื่อให้ภาวะการเงินสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้กับกลุ่มเปราะบาง รวมถึงช่วยเสริมประสิทธิผลของมาตรการทางการเงินและนโยบายอื่นของภาครัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยที่กนง.ยังคงติดตามและประเมินทุกการประชุม 

ขณะเดียวกันสิ่งที่เห็นต่อเนื่อง ทั้งลูกค้ารายเล็กและผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูง ยังเข้าถึงสินเชื่อได้ค่อนข้างยาก ฉะนั้นกลไกที่จะช่วยลดความเสี่ยงด้านเครดิตเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะมีเพิ่มเติม เพื่อช่วยลดความเสี่ยง

เพราะในแง่ของดอกเบี้ยทำให้ภาพใหญ่หรือภาวะการเงินผ่อนคลาย แต่เรื่องสินเชื่อใหม่นั้น เนื่องจาก SMEs มีปัญหาเชิงโครงสร้างและต้องช่วยเรื่องการแข่งขันจากความเสี่ยงยังสูงอยู่ 

แต่ในส่วนของสินเชื่อเดิม การปรับลดดอกเบี้ยจะช่วยเอสเอ็มอีหรือครัวเรือนที่มีการจ่ายดอกเบี้ยลอยตัวได้รับประโยชน์ ลดภาระลง และดอกเบี้ยก็ยังช่วยอุปสงค์บ้าง ทำให้รายได้อาจจะปรับบ้าง

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ประเทศเรามีปัญหาเชิงโครงสร้าง การใช้ดอกเบี้ยนโยบายเพียงอย่างเดียวคงจะไม่ช่วยแก้ไขปัญหาที่ต้นทุน จำเป็นต้องมีมาตรการในแง่เพิ่มความสามารถในการแข่งขันเพิ่มเติม 

อย่างเช่น ในแง่กลไกของการค้ำประกันสินเชื่อที่จะช่วยกลุ่ม SMEs โดยเฉพาะกลุ่มที่มีศักยภาพสามารถปรับตัวได้ ซึ่งจะช่วยในลักษณะการค้ำประกันสินเชื่อที่มีความง่าย ข้อจำกัดน้อยกว่าเดิม คาดว่า จะออกมาเร็วๆนี้  ในแง่การส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายนั้น หลังจากนี้จะรอดูผลตอบรับ จากแบงก์ในระบบ โดยคาดหวังว่า จะเห็นการปรับลดอกเบี้ยลงตาม  

ส่วนการปรับลดดอกเบี้ยในครั้งนี้จะช่วยลดแรงกดดันการแข็งค่าของเงินบาทหรือไม่ นายสักกะภพกล่าวว่า เงินบาทแข็งค่ามากขึ้นประมาณ 8.5% ส่วนหนึ่งมาจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าและราคาทองคำปรับสูงขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยเฉพาะซ้ำเติม

ฉะนั้น กนง.ให้น้ำหนักค่อนข้างมากในการพยายามดูแลเงินไหลเข้า ซึ่งเป็นต้นตอ/จุดเริ่มต้นและพยายามยกระดับการติดตามเรื่องของค่าเงินบาท  

นอกจากพบความผิดปกติในธุรกรรมของทองคำบางช่วงมีธุรกรรม FX ที่เกี่ยวข้องกับทองคำค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับธุรกรรมปกติ ในสัดส่วนของการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ โดยยังคงติดตามความผิดปกติอย่างต่อเนื่อง

ขณะนี้อยู่ระหว่างขอข้อมูลเพิ่มเติมและประสานธนาคารพาณิชย์ให้ตรวจสอบธุรกรรมเข้มมากขึ้นว่า ธุรกรรมไหนมีความผิดปกติและกระทบต่อค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ  ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกรรม FX คือ ธุรกรรมที่ผ่านธนาคารพาณิชย์ และการแลกเปลี่ยนเงิน รวมถึงStable Coinด้วย 

ส่วนแนวโน้มปัจจัยที่จะทำให้กนง.ลดดอกเบี้ยนั้น ถ้าเศรษฐกิจแย่กว่าที่กนง.คาด ภาวะความเสี่ยงของ “เงินฝืด” ถ้ามีเพิ่มมากขึ้นชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้เงินเฟ้อทั่วไปจะปรับลดลง แต่ยังไม่เห็น ภาวะเงินฝืด 

“ธปท.พยายามติดตามการปรับลดลงที่เป็นวงกว้างและต่อเนื่อง ยังเป็นตัวที่สะท้อนกำลังซื้อ/เงินเฟ้อพื้นฐานที่สะท้อนปัจจัยด้านอุปสงค์ ซึ่งระยะหลังอาจชะลอลงบ้าง แต่ยังไม่ชะลอลงมากนักจนถึงระดับที่เป็นภาวะเงินฝืด” นายสักกะภพกล่าวทิ้งท้าย

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,159 วันที่ 21 - 24 ธันวาคม พ.ศ. 2568