ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เปิดเผยรายงาน การติดตามเสถียรภาพระบบการเงินไทยประจำปี 2568 ชี้ภาพรวมระบบการเงินยังคงมีเสถียรภาพและสามารถสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีระบบสถาบันการเงินที่เข้มแข็งและหนี้ภาคครัวเรือนที่ทยอยปรับลดลง
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าระวังความเสี่ยงจากการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความเปราะบางของกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังเผชิญความท้าทายรอบด้าน
ทั้งนี้ช่วงครึ่งแรกของปี 2568 สถาบันการเงินทั้งธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ยังคงมีฐานะการเงินที่มั่นคง สะท้อนจากอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) ที่อยู่ในระดับสูงถึง 21.3% และมีสภาพคล่องส่วนเกินในระดับที่วางใจได้
ขณะเดียวกัน สัญญาณบวกที่สำคัญคือระดับหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 86.8% ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ซึ่งเป็นผลมาจากกระบวนการลดหนี้ (deleveraging) และการระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน
แม้ในระยะสั้นอาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจบ้าง แต่ในระยะยาวจะช่วยลดความเสี่ยงเชิงระบบและเพิ่มความสามารถในการรับมือกับภาวะวิกฤตรายได้ของครัวเรือนได้ดียิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางเสถียรภาพที่ยังแข็งแกร่ง แต่ยังมีความไม่แน่นอนที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะปัจจัยจากภายนอกประเทศ เช่น นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง และปัจจัยภายในจากการฟื้นตัวของรายได้ที่ชะลอตัวลงตามการส่งออกและการบริโภคภาคเอกชน
โดยความเสี่ยงสำคัญในระยะถัดไปถูกแบ่งออกเป็น 4 ด้านหลัก
ธปท. ยืนยันว่าจะติดตามพัฒนาการของความเปราะบางในจุดต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลกระทบของวงจรสะท้อนกลับ (feedback loop) ระหว่างภาคการเงินและภาคเศรษฐกิจจริง เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินไทยให้มั่นคงท่ามกลางความท้าทายในอนาคต