แบงก์ชาติสั่งจับตา 4 จุดเปราะบาง ห่วง SMEs-อสังหาฯ-รายใหญ่หนี้สูง

25 ธ.ค. 2568 | 08:23 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ธ.ค. 2568 | 08:29 น.

ธปท. กางรายงานเสถียรภาพระบบการเงินไทยปี 68 มั่นใจพื้นฐานแกร่งพร้อมรับแรงกระแทกจากความผันผวนโลก แต่สั่งจับตา 4 จุดเปราะบาง ห่วง SMEs-อสังหาฯ-รายใหญ่หนี้สูง

ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เปิดเผยรายงาน การติดตามเสถียรภาพระบบการเงินไทยประจำปี 2568 ชี้ภาพรวมระบบการเงินยังคงมีเสถียรภาพและสามารถสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีระบบสถาบันการเงินที่เข้มแข็งและหนี้ภาคครัวเรือนที่ทยอยปรับลดลง

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าระวังความเสี่ยงจากการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความเปราะบางของกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังเผชิญความท้าทายรอบด้าน

ทั้งนี้ช่วงครึ่งแรกของปี 2568  สถาบันการเงินทั้งธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ยังคงมีฐานะการเงินที่มั่นคง สะท้อนจากอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) ที่อยู่ในระดับสูงถึง 21.3% และมีสภาพคล่องส่วนเกินในระดับที่วางใจได้

ขณะเดียวกัน สัญญาณบวกที่สำคัญคือระดับหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่  86.8% ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ซึ่งเป็นผลมาจากกระบวนการลดหนี้ (deleveraging) และการระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน

แม้ในระยะสั้นอาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจบ้าง แต่ในระยะยาวจะช่วยลดความเสี่ยงเชิงระบบและเพิ่มความสามารถในการรับมือกับภาวะวิกฤตรายได้ของครัวเรือนได้ดียิ่งขึ้น

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางเสถียรภาพที่ยังแข็งแกร่ง แต่ยังมีความไม่แน่นอนที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะปัจจัยจากภายนอกประเทศ เช่น นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง และปัจจัยภายในจากการฟื้นตัวของรายได้ที่ชะลอตัวลงตามการส่งออกและการบริโภคภาคเอกชน

โดยความเสี่ยงสำคัญในระยะถัดไปถูกแบ่งออกเป็น 4 ด้านหลัก

  1.  ภาวะการเงินที่ตึงตัวต่อเนื่อง: ความเสี่ยงนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาพคล่องของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน  โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ขนาดเล็กมาก (micro SMEs) ที่ได้รับสินเชื่อลดลงมากที่สุดและต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่ากลุ่มอื่น, ขณะเดียวกัน ครัวเรือนเปราะบาง ก็ประสบปัญหารายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายและภาระหนี้ ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ด้อยลงและเข้าถึงสินเชื่อได้ยากขึ้น
  2. ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่อ่อนไหว: นักลงทุนมีความกังวลต่อปัจจัยความไม่แน่นอนทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น นโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความผันผวนของตลาดการเงินโลก  หากความเชื่อมั่นถดถอยลง จะกระทบต่อความสามารถในการระดมทุนของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิม (rollover risk) ในกลุ่มหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงสูง (high yield)
  3. ความเปราะบางของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีภาระหนี้สูง (HLLCs): บริษัทขนาดใหญ่บางรายเริ่มมีฐานะการเงินที่เปราะบางมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทที่มีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (D/E ratio) ในระดับสูง กลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษคือธุรกิจในภาคการค้าและภาคการท่องเที่ยว ซึ่งได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการบริโภคภายในประเทศและการส่งออก ซึ่งหากบริษัทเหล่านี้ประสบปัญหาอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังความเชื่อมั่นของนักลงทุนและสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้
  4. ฐานะการเงินของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Developers): ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัวจากอุปสงค์และกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แม้จะมีการผ่อนคลายมาตรการ LTV แต่ยังคงมีอุปทานคงค้าง (oversupply) ในระดับสูง โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยระดับราคามากกว่า 5 ล้านบาท ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางรายมีความเสี่ยงในการต่ออายุหุ้นกู้มากขึ้น

ธปท. ยืนยันว่าจะติดตามพัฒนาการของความเปราะบางในจุดต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลกระทบของวงจรสะท้อนกลับ (feedback loop) ระหว่างภาคการเงินและภาคเศรษฐกิจจริง เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินไทยให้มั่นคงท่ามกลางความท้าทายในอนาคต