เงินบาทผันผวนหนัก 10 เดือน เหวี่ยงเกิน 10% แนะธุรกิจเร่งปิดความเสี่ยง

25 พ.ย. 2568 | 07:12 น.
อัปเดตล่าสุด :25 พ.ย. 2568 | 07:12 น.

กรุงไทย–กสิกรไทยจับตา “เงินบาทผันผวนสูง” หลัง 10 เดือนเหวี่ยง 7-8% เกินค่าเฉลี่ย แนะธุรกิจเร่งปิดความเสี่ยงถึงไตรมาส 2 ปีหน้า คาดสิ้นปีดอลล์อ่อน หนุนเงินบาทแกว่งกรอบ 32-33 บาท

ค่าเงินบาทกลับมาเป็นประเด็นสำคัญช่วงโค้งสุดท้ายของปี เมื่อความผันผวนตลอด 10 เดือนแรกสูงถึงราว 7–8% บางช่วงเหวี่ยงเกิน 10% สูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติที่ราว 5% สะท้อนปัจจัยเสี่ยงทั้งจากทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ (เฟด) ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และข้อจำกัดด้านเครื่องมือปิดความเสี่ยงของผู้ประกอบการไทย 

เมื่อเทียบสกุลเงินต่างประเทศต่อเงินบาทไทยพบว่า ส่วนใหญ่อ่อนค่ากว่าเงินบาท ยกเว้น เงินริงกิตแข็งค่า 2.1% รองมาคือ ดอลลาร์ไต้หวัน 0.5% และดอลลาร์ ออสเตรเลีย 0.2% ที่เหลืออ่อนค่ากว่าเงินบาทได้แก่ เงินปอนด์ อ่อนค่า -0.1% ดอลลาร์ สิงคโปร์ -0.4% หยวน -2.6% เยน -3.2% นิวซีแลนด์ดอลลาร์ -4.2% วอน -4.5% ดอลลาร์ ฮ่องกง -5.1% เปโซ -6.7% ด่อง -8.0% รูปี -8.3% และ รูเปียห์-8.4%

ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ตั้งแต่ต้นปีถึง 17 พฤศจิกายน 2568 นักลงทุนต่างชาติทำสถานะ ขายสุทธิหุ้นไทย 106,775 ล้านบาท แต่กลับเพิ่มการถือครอง พันธบัตรไทยสุทธิ 74,748 ล้านบาท สวนทางกับทิศทางเงินบาทซึ่งแข็งค่าขึ้น 5% จากสิ้นปี 2567 (จาก 34.10 เหลือ 32.47 บาทต่อดอลลาร์)  

ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ทั้งนี้ หากมองย้อนหลังตลอดหลายปี “ฟันด์โฟลว์” ไม่ได้เป็นตัวกำหนดทิศทางเงินบาทเสมอไป เพราะพบหลายปีก่อนหน้านี้ที่เงินทุนต่างชาติไหลออกทั้งตลาดหุ้นและบอนด์ แต่เงินบาทยังแข็งค่า

เช่น ปี 2568 ขายหุ้น-ซื้อบอนด์ แต่เงินบาทแข็ง 5% ปี 2567 ต่างชาติขายสุทธิทั้งหุ้นไทย 147,940 ล้านบาท และบอนด์ 67,393 ล้านบาท แต่เงินบาทยังแข็ง 0.1% ส่วนปี 2566 ต่างชาติขายสุทธิหุ้น 192,490 ล้านบาท และบอนด์ 143,968 ล้านบาท แต่เงินบาทแข็ง 1.4% 

ปี 2565 ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้น 202,694 ล้านบาท และบอนด์ 46,392 ล้านบาท แต่เงินบาทกลับอ่อนค่า 3.5% และปี 2564 นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิหุ้นไทย 48,577 ล้านบาท แต่ซื้อสุทธิบอนด์144,214 ล้านบาท โดยที่เงินบาท “อ่อนค่า” 10.4% 

“ภาพเหล่านี้สะท้อนชัดว่าฟันด์โฟลว์ไม่ใช่ปัจจัยหลัก ค่าเงินบาทถูกขับเคลื่อนโดย Sentiment ดอลลาร์โลก ราคาทองคำ และประเด็นดอกเบี้ยเฟดเป็นสำคัญ” ดร.กาญจนากล่าว  

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ตั้งแต่ช่วงนี้จนถึงสิ้นปี ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหว Sideway ในกรอบ 32–33 บาทต่อดอลลาร์ และมีโอกาสแข็งค่าได้หากตลาดเชื่อมั่นมากขึ้นว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม 

“เดิมเราประเมินว่า เงินบาทจะอ่อนค่ากลับไปแถว 33.70 บาทต่อดอลลาร์ แต่หากเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยชัดเจน เงินบาทอาจไม่อ่อนค่าตามเดิม และมีจังหวะแข็งค่าได้ เพราะเงินบาทปรับแข็งมาล่วงหน้าพอสมควร” ดร.กาญจนาระบุ 

การเคลื่อนไหวของสกุลเงินต่างๆ

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงิน ตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยกล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีเงินบาทแข็งค่าต่อดอลลาร์ 5.3% แต่เมื่อเทียบเป็นดัชนีค่าเงิน (NEER) แข็งเพียง 1.44% และเมื่อปรับตามเงินเฟ้อ (REER) พบว่าเงินบาท “อ่อนค่า” 0.45%

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงิน ตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย

สะท้อนว่า ไทยยังคงสามารถแข่งขันด้านต้นทุนได้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อไทยต่ำกว่าหลายประเทศ  

อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ยังเผชิญความยากลำบากในการปิดความเสี่ยงเพราะ ความผันผวนสูงทำให้คาดทิศทางยาก ขณะที่สถาบันการเงินเข้มงวดปล่อยสินเชื่อ ทำให้หลายราย ไม่มีวงเงินสำหรับทำ Forward/Options และต้นทุนป้องกันความเสี่ยงยังสูง เช่น Swap Point อายุ 3 เดือนติดลบ 23 สตางค์ (ราว 80 สตางค์ต่อปี) 

สำหรับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนัก ได้แก่ เทรดดิ้ง–นำเข้า สินค้าเกษตร–อาหาร ที่ต้องเผชิญทั้งการแข่งขันจากสินค้าจีนราคาต่ำ ราคาสินค้าโลกปรับลด เช่น น้ำตาลดิบจาก 22 ดอลลาร์/ปอนด์ เหลือ 14 ดอลลาร์ ข้าวหอมมะลิจาก 15,000 บาท/ตัน ลดลงเหลือราว 14,000 บาท ขณะที่ค่าเงินแข็งยิ่งลดกำไรผู้ประกอบการที่ไม่ได้ปิดความเสี่ยงไว้ล่วงหน้า 

“ปีนี้ถือเป็นปีที่ผู้ประกอบการ “ปิดความเสี่ยงได้ยากที่สุดปีหนึ่ง” เพราะทิศทางค่าเงินคาดการณ์ยากจากระดับความผันผวนที่สูงกว่าปกติ โดยค่าเฉลี่ยผันผวนทั้งปีอยู่ที่ราว 7–8% จากปกติ 5% และบางช่วงเหวี่ยงเกิน 10%” 

ขณะเดียวกันสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยกู้ ทำให้หลายรายไม่สามารถขอวงเงิน FX เพื่อทำ Forward หรือ Options ได้ แม้ต้องการปิดความเสี่ยง แต่ถูกจำกัดด้วยวงเงินที่ไม่ผ่านการอนุมัติ อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการที่มีวงเงินเพียงพอยังสามารถใช้กลยุทธ์ Options ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนได้ 

ทั้งนี้กรุงไทยประเมินกรอบค่าเงินบาทช่วงที่เหลือของปีนี้ไว้ที่ 31.50–33 บาทต่อดอลลาร์ โดยเห็นว่า “มีโอกาสไม่มากที่จะเห็นเงินบาทอ่อนหลุด 32.50 บาทต่อดอลลาร์ เพราะดอลลาร์กำลังมีแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ กฎหมาย IEEPA และบรรยากาศการคาดหวังว่า เฟดจะลดดอกเบี้ย

ส่วนแนวโน้มต้นปีหน้าเงินบาทอาจมีจังหวะแข็งค่าเพิ่มเติมจากปัจจัยการเลือกตั้งในไทย ขณะที่ไตรมาส 2 ปี 2569 อาจกลับมากดดัน จากกระแสเงินปันผล การเมือง และสัญญาณดอลลาร์แข็งค่ารอบใหม่ 

นายพูนระบุว่า ความผันผวนรอบนี้ทำให้ การปิดความเสี่ยงแบบยาวไม่เหมาะสม ผู้ประกอบการควร Take view เป็นช่วง ๆ โดยผู้นำเข้า มีแนวโน้มได้เห็นเงินบาทแข็งบ้าง จึงไม่จำเป็นต้องล็อกยาว ควรรอดูจังหวะไตรมาส 1 ปีหน้า ส่วนผู้ส่งออก  หากได้อัตราเกิน 32.50 บาทต่อดอลลาร์จากนี้ถึงไตรมาส 1 ถือว่า ปลอดภัย และควรคุ้มครองความเสี่ยงยาวถึง ไตรมาส 2 ปีหน้า ซึ่งจะเริ่มมีปัจจัยกดดันค่าเงินเข้ามามากขึ้น

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,151 วันที่ 23 - 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568