เอกชนชี้บาทแข็งทำรายได้ประเทศร่วง-เสียเปรียบตลาดโลกกระเทือนเศรษฐกิจ

21 ต.ค. 2568 | 07:25 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ต.ค. 2568 | 07:25 น.

ส.อ.ท.ชี้ค่าเงินบาทแข็งทำรายได้ประเทศลดลง เสียเปรียบในการแข่งขันตลาดโลกส่งผลต่อการจ้างงาน และเศรษฐกิจวงกว้าง

KEY

POINTS

  • ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นกว่า 7% เมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกไทยลดลง และส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของประเทศ
  • ภาคเอกชนระบุว่าค่าเงินบาทที่แข็งเกินไปส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจ ทั้งการส่งออก การท่องเที่ยว และการจ้างงาน โดยมีปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากการส่งออกทองคำที่ผิดปกติ
  • สภาอุตสาหกรรมฯ เสนอแนวทางแก้ไขต่อธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วย SMEs และการคุมเข้มการส่งออกทองคำเพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงิน

นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และคณะผู้บริหาร ว่า ปัญหาสำคัญคือค่าเงินบาทที่แข็งค่ากว่า 7% เมื่อเทียบกับภูมิภาค ขณะที่เงินเวียดนามอ่อนค่ากว่า 3% ทำให้ช่องว่างการแข่งขันห่างกันเกือบ 10% สินค้าส่งออกไทยซึ่งมีกำไรไม่มากจึงเสียเปรียบประเทศคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด โดยรายได้จากการส่งออกคิดเป็นกว่า 60% ของ GDP

ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่า GDP ประเทศไทย ปี 69 จะโตเพียง 1.6% จากผลกระทบด้านการส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งเริ่มชะลอตัวจากภาวะค่าครองชีพสูง นักท่องเที่ยวระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ในขณะที่เพื่อนบ้านอย่างเวียดนามกลับเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้อีก 2-3 ล้านคน

“เงินบาทที่แข็งค่าเกินไป ทำให้รายได้ประเทศลดลง การแข่งขันในตลาดโลกเสียเปรียบ และยังส่งผลต่อการจ้างงานและเศรษฐกิจในวงกว้าง” 

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า ส.อ.ท. เสนอแนวทางให้ ธปท. และสถาบันการเงินพิจารณาซอฟต์โลนดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยเหลือ SMEs โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีวินัยทางการเงินดี เช่น ไม่เคยค้างชำระค่าน้ำค่าไฟ หรือมีเครดิตชุมชนที่ดี ควรได้รับแต้มต่อในการกู้ยืม

รวมถึงเสนอให้จัดตั้งกองทุนเอสเอ็มอีนวัตกรรมการเงินโดยเปิดโอกาสให้เอกชนร่วมลงทุน เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อปกติสามารถเข้ามาขอทุนสนับสนุนได้ เพราะด้วยภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ผู้ขายต้องขายแบบเครดิตแต่ผู้ซื้อต้องจ่ายเงินสด ทำให้ผู้ประกอบการขาดสภาพคล่อง การออกแบบระบบสินเชื่อแบบใหม่จึงเป็นเรื่องจำเป็น

โดยผู้ว่าการ ธปท. ได้รับข้อเสนอของภาคเอกชน และจะนำข้อมูลไปพิจารณาหาแนวทางร่วมมือแก้ปัญหาค่าเงินบาท ซึ่งได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย ทั้งจากราคาทองคำที่ปรับขึ้น และการทำธุรกรรมคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการฟอกเงินระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ดี ส.อ.ท. เคยเสนอให้หน่วยงานรัฐเข้มงวดการตรวจสอบการส่งออกทองคำ หลังพบว่าปี 2566 มีการส่งออกไปกัมพูชากว่า 12,000 ล้านบาท และปี 2567 พุ่งหลักแสนล้านบาท ดังนั้น ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งจัดระเบียบเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งขณะนี้มีการดำเนินการเทรนด์ทองคำเป็นสกุลเงินดอลลาร์แล้ว ซึ่งตรงนี้จะช่วยลดการแข็งค่าของเงินบาทได้

"ช่วงเดือนก่อนที่เอกชนพบความผิดปกติของการส่งออกทองคำไปจำนวนมาก และเมื่อชี้จุดทำให้มีการเข้ามาตรวจสอบอย่างเข้มงวด ส่งผลให้ค่าเงินบาทลดลงมาได้บ้าง ดังนั้น หากมีการควบคุมและกำกับดูแลอย่างเข้มงวดก็จะช่วยในเรื่องนี้ได้"

นอกจากนี้ ส.อ.ท. ยังเสนอให้ภาครัฐเพิ่มสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่เป็นสินค้าเมดอินไทยแลนด์จาก 30% เป็น 50% เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมในประเทศ และสร้างรายได้ให้ SMEs โดยไม่ต้องพึ่งพางบประมาณเพิ่มเติม พร้อมสนับสนุนโครงการคนละครึ่งพลัสที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า มีร้านค้าร่วมโครงการกว่า 300,000 ร้านทั่วประเทศ