ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) รายงาน Monetary Policy Forum ซึ่งครอบคลุมภาพรวมเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย นโยบายการเงิน อัตราเงินเฟ้อ และความเสี่ยงของภาวะเงินฝืด
ธปท.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวได้เพียง 2.2% และมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่องในปี 2569 เหลือ 1.6% หลังได้รับผลกระทบจากการส่งออกที่เริ่มชะลอตัวจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ แม้ช่วงครึ่งปีแรก (H1/68) เศรษฐกิจไทยจะโตได้ถึง 3% จากการเร่งผลิตและส่งออกล่วงหน้า แต่คาดว่าครึ่งปีหลังจะชะลอ โดยเฉพาะไตรมาส 3 โตเพียง 1.5% และไตรมาส 4 เหลือ 1.3%
น.ส.ปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. ระบุว่า ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ภาครัฐจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น “คนละครึ่ง พลัส” และ “เที่ยวดีมีคืน” ซึ่งจะช่วยเพิ่มจีดีพีในช่วงไตรมาส 4 ได้ราว 0.2–0.3% และช่วยสร้างบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอย โดยเฉพาะในภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ
ธปท. ประเมินว่า ปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 33 ล้านคน สร้างรายได้ 1.4 ล้านล้านบาท โดยมีนักท่องเที่ยวจีนราว 4.4 ล้านคน และคาดว่าในปี 2569 จะเพิ่มเป็น 35 ล้านคน รายได้รวมแตะ 1.5 ล้านล้านบาท จากนักท่องเที่ยวจีนประมาณ 6 ล้านคน
ผู้ประกอบการท่องเที่ยวเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวในไตรมาส 4/68 โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน แต่ยังมีความกังวลต่อ ค่าเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งอาจกระทบต่อการใช้จ่ายและการแข่งขันของภาคธุรกิจท่องเที่ยวไทย
นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้อยู่ที่ 0.0% ปี 2569 ที่ 0.5% และปี 2570 ที่ 1% โดยคาดว่าเงินเฟ้อจะกลับมาเป็นบวกในช่วง ไตรมาส 2/69 และเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 1–3% ในปี 2570
ยืนยันว่าไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด เพราะอัตราเงินเฟ้อต่ำมาจากราคาสินค้าบางหมวด เช่น พลังงานและอาหารสด
ขณะที่สินค้าหมวดอื่นไม่ลดลงในวงกว้าง อีกทั้งราคานำเข้าจากจีนที่ถูกลงและการแข่งขันในตลาดภายในประเทศยังคงกดดันราคาสินค้าให้ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ
นายสุรัช ระบุว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยต้องใช้การ “ผสมผสานเครื่องมือเชิงนโยบาย” ทั้งด้านการเงิน อัตราแลกเปลี่ยน และสถาบันการเงิน โดยนโยบายการเงินควรอยู่ในระดับ ผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันต้องดูแลเสถียรภาพการเงินและค่าเงินบาทให้เคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐาน
ด้านสินเชื่อยังหดตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่ที่ชะลอการกู้ยืม และธนาคารพาณิชย์ที่ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อให้ SMEs และครัวเรือนรายได้ต่ำ ธปท. จึงเตรียมใช้มาตรการเฉพาะจุด เช่น การแก้หนี้รายกลุ่ม การเติมสภาพคล่อง และการตั้ง AMC รองรับหนี้เสีย
“การลดดอกเบี้ยอย่างเดียวไม่พอ ต้องยกระดับศักยภาพ SMEs ควบคู่กันไป เพราะปัญหาหลักอยู่ที่กำลังซื้อและการแข่งขัน ไม่ใช่แค่ภาระดอกเบี้ย”
นายสุรัชย้ำว่า การส่งผ่านนโยบายการเงินต้องใช้เวลา 3–4 ไตรมาส จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในจังหวะต่อไป