ธุรกิจเช่าซื้อเร่งเครื่องโค้งท้ายปี ลุ้นสินเชื่อทั้งปีหดตัวแค่ 10%

19 ต.ค. 2568 | 08:41 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ต.ค. 2568 | 09:38 น.

สมาคมธุรกิจเช่าซื้อลุ้น สินเชื่อปี 68 หดตัวไม่เกิน 10% เหตุยอดขายรถชะลอ-เข้มปล่อยกู้ ดันยอดปฏิเสธสินเชื่อพุ่งสูง 50% ในกลุ่มมอเตอร์ไซด์ เร่งเครื่องโค้งสุดท้ายหวัง “Motor Expo-กะบะพี่มีคลังค้ำ” พยุงตลาด

ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในปี 2568 ยังคงเผชิญกับภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและนโยบายการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดของสถาบันการเงิน โดยสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทยคาดการณ์ว่า ยอดสินเชื่อเช่าซื้อทั้งปีมีแนวโน้มจะปรับลดลงไม่เกิน 8-10% ซึ่งเป็นทิศทางที่สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์โดยรวมที่คาดว่า จะหดตัวประมาณ 6-7% 

ทั้งนี้สถิติการขายรถยนต์เดือนสิงหาคม 2568 จำนวนทั้งสิ้น 47,622 คัน เพิ่มขึ้น 5.40% เมื่อรวม 8 เดือน (มกราคม - สิงหาคม)ปี 2568 ยอดขายรถยนต์อยู่ที่ 399,945 คัน เพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยตลาดรถยนต์นั่งปรับตัวดีขึ้น มียอดขาย 29,454 คัน เพิ่มขึ้น 12.3%

ขณะที่ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน มียอดขาย 14,599 คัน ลดลง 2.5%. รถยนต์ HEV มียอดขาย 11,230 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ 26.0 % โดยมียอดขายสะสม 8 เดือนแรกถึง 89,598 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 50.6% ของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ทั้งหมด  

สถิติยอมขายรถยนต์เดือนส.ค.2568

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมรถยนต์ดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนกันยายนที่มีแนวโน้มทรงตัว เนื่องจากรอความชัดเจนของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ และอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงินยังสูงอยู่ สมาคมคาดว่า ยอดขายทั้งปี 68 ไม่น่าเกิน 550,000 คัน

นายศรัณย์ ทองธรรมชาติ นายกสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทยเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ทุกค่ายคาดหวังว่ามหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42 (Motor Expo 2025 ระหว่างวันที่ 29 พ.ย -10 ธ.ค.) และกิจกรรมสนับสนุนการทำตลาดและกระตุ้นกำลังซื้อ และสถาบันการเงินค่ายผู้ผลิตรถ(Captive Finance) จะทำให้สถานการณ์ยอดขายและการทำสัญญาสินเชื่อเช่าซื้อทั้งปี 2568 มีแนวโน้มปรับลดลงไม่เกิน 8-10% เมื่อเทียบกับปีก่อน  

นายศรัณย์ ทองธรรมชาติ นายกสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย

ขณะที่แนวโน้มยอดขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ทั้งปีนี้ น่าจะปรับลดลง 6-7%เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนรถกะบะ ช่วงโค้งท้ายปีอาจมีแรงสนับสนุนจากโครงการ “กะบะพี่มีคลังค้ำ” ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐที่ดำเนินการค้ำประกัน โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)ที่เปิดโอกาสให้ Non-Bank ทั้งกลุ่มนาโนไฟแนนซ์และเช่าซื้อ เข้าร่วมโครงการค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อช่วยให้ SMEs และอาชีพอิสระ เข้าถึงแหล่งเงินทุนง่ายขึ้น 

“กระบะพี่มีคลังค้ำจึงเป็นทางเลือกให้ไฟแนนซ์ผลักดันยอดขายและสินเชื่อรถกะบะในกรณีที่ไฟแนนซ์มีลูกค้าอยู่ในเงื่อนไขว่า ไม่มีเงินดาวน์ก็สามารถใช้โครงการกะบะพี่มีคลังค้ำ เพื่ออำนวยสินเชื่อให้ลูกค้าทั้งรถกะบะใหม่และกะบะมือสอง” 

สำหรับวงเงินในโครงการกะบะพี่มีคลังค้ำนั้น เข้าใจว่า น่าจะมีวงเงินที่จะใช้อีกประมาณกว่า 4,000 ล้านบาท จากวงเงิน 5,000 ล้านบาทที่บสย.ร่วมกับธนาคารในการค้ำประกันสินเชื่อตั้งแต่ต้นปีและกำหนดสิ้นสุดภายในสิ้นปี 2568 

“ภาพรวมธุรกิจเช่าซื้อทั้งปี68 ยังคงชะลอตัวสอดคล้องกับยอดขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เนื่องจากเศรษฐกิจอยู่ในช่วงค่อยๆ ฟื้นตัวและฟื้นตัวค่อนข้างช้า ประกอบกับผู้ให้บริการสินเชื่อส่วนใหญ่ยังเข้มงวดในการปล่อยกู้ โดยดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง และเน้นการรักษาฐานลูกค้าเก่าและดูแลคุณภาพสินเชื่อที่ปล่อยกู้ออกไปแล้ว เพื่อควบคุมหนี้เสียที่ยังมีความเสี่ยง เพราะโอกาสทำไรที่บางลงจากการแข่งขันและเครดิตคอร์สที่สูง” 

ที่ผ่านมา แม้ว่าสัญญาณการปฎิเสธการอนุมัติสินเชื่อหรือ อัตรา Rejection จะปรับลดลงมาในระดับหนึ่งแล้ว แต่ยังอยู่ในระดับสูง เห็นได้จาก รถยนต์นั่งมียอด Reject เฉลี่ย 10-20% รถกะบะเฉลี่ย 20-30% รถมือสอง 30-40% และมอเตอร์ไซด์ประมาณ 50% 

ส่วนความคืบหน้าพระราชกฤษฎีกา(พ.ร.ฎ)การให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ พ.ศ.2568 ที่ให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อฯนั้น นายศรัณย์กล่าวว่า ธปท.ได้ปิดการเปิดรับฟังความคิดเห็นไปแล้ว ส่วนตัวเข้าใจว่า จะคงจะมีประกาศหลักเกณฑ์ก่อนพ.ร.ฎ.จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 ธันวาคม 2568 

ทั้งนี้ ในทางปฎิบัติผู้ประกอบการเช่าซื้อทั้งนอนแบงก์และไฟแนนซ์ในระบบกว่า 3,000 รายจะต้องปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฎิบัติต่างๆ และมาตรการปล่อยสินเชื่ออย่างเป็นธรรมและรับผิดชอบ(RL: Responsible Lending) และการยกระดับการกำกับดูแลสถาบันการเงินหรือ Market Conduct เพื่อคุ้มครองผู้ใช้บริการ 

แหล่งข่าวในวงการเช่าซื้อให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า โครงการ “กะบะพี่มีคลังค้ำ”นั้น เบื้องต้นกำหนดวงเงินค้ำประกันรถใหม่ 4,500 ล้านบาทและอีก 500 ล้านบาทสำหรับรถมือสอง พร้อมมีข้อสังเกตเกี่ยวกับหลักเกณฑ์สำหรับผู้ประกอบการไฟแนนซ์ นอนแบงก์ต้องใช้ที่ปรึกษาหรือผู้ตรวจสอบบัญชีได้รับความเห็นสอบบัญชี ปราศจากเงื่อนไข และต้องจดทะเบียนกับ ก.ล.ต.

“เงื่อนไขดังกล่าวจะเป็นประเด็นและจำกัดเฉพาะบริษัทใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร แต่ผู้ประกอบการท้องถิ่นที่เป็นหัวหอกช่วยปล่อยกู้ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการบสย.”

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,141 วันที่ 19 - 22 ตุลาคม พ.ศ. 2568