ธปท.สั่ง 'เช่าซื้อ-ลีสซิ่งรถ' รายงานตัวเข้าอยู่ภายใต้กำกับถึง 31 มี.ค.69

09 ต.ค. 2568 | 23:06 น.

ธปท.เปิดให้ธุรกิจเช่าซื้อ-ลีสซิ่งรถยนต์/มอเตอร์ไซด์ รายงานตัวตั้งแต่ 10 ต.ค.68 จนถึง 31 มี.ค.68 หลังกฎหมายใหม่ให้อยู่ภายใต้กำกับดูแล มีผลบังคับใช้ 2 ธ.ค.68 คุมดอกเบี้ย คุ้มครองผู้บริโภค

นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการ ทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตามที่พระราชกฤษฎีกากำหนดให้การประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 พ.ศ. 2568 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป 

เพื่อให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ ธปท. ขอแจ้งให้นิติบุคคลทุกแห่ง ซึ่งปัจจุบันประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่จะเข้ามาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. (ยกเว้นสถาบันการเงินและบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงิน สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และสหกรณ์แท็กซี่) 

ทั้งนี้ โปรดรายงานข้อมูลการประกอบธุรกิจผ่านเว็บไซต์ ธปท. ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2569

ธปท.สั่ง 'เช่าซื้อ-ลีสซิ่งรถ' รายงานตัวเข้าอยู่ภายใต้กำกับถึง 31 มี.ค.69

ทั้งนี้การตัดสินใจดึงธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่งเข้ามาอยู่ภายใต้การกำกับของธปท. มีรากฐานมาจากความจำเป็นเร่งด่วนสองประการหลักคือ การรักษาเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจการเงิน และ การคุ้มครองผู้บริโภคอย่างทั่วถึง 

  • ประการแรก ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ถือเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญสำหรับภาคครัวเรือน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็น องค์ประกอบสำคัญของปัญหาหนี้ครัวเรือน ของประเทศ ข้อมูล ณ สิ้นปี 2567 ชี้ให้เห็นว่า ยอดธุรกรรมคงค้างของสินเชื่อกลุ่มนี้สูงถึง 1.6 ล้านล้านบาท ซึ่งมีนัยสำคัญต่อความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจโดยรวม 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 1 ใน 3 ของยอดธุรกรรมนี้มาจากผู้ประกอบการที่ยังไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลเป็นการเฉพาะ ทำให้ ธปท. ในฐานะผู้ดูแลเสถียรภาพการเงินสูงสุด จำเป็นต้องเข้ามาควบคุมและบริหารจัดการความเสี่ยงด้านหนี้ครัวเรือนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคก่อหนี้สินเกินตัวโดยไม่จำเป็น  

  • ประการที่สองคือ ปัญหาการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ยังไม่ทั่วถึงและขาดมาตรฐาน จากเดิมที่หน่วยงานกำกับดูแลหลักยังไม่ครอบคลุมอย่างเต็มที่ ส่งผลให้เกิด ข้อร้องเรียนจำนวนมาก เกี่ยวกับการให้บริการที่ไม่เป็นธรรม การให้ข้อมูลที่ไม่โปร่งใส การกำหนดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่สูงเกินสมควร รวมถึงปัญหาในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ 

การที่ ธปท. เข้ามามีอำนาจกำกับดูแล จะทำให้สามารถกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและเข้มงวดมากขึ้น เช่น การ ควบคุมเพดานอัตราดอกเบี้ย และค่าบริการต่าง ๆ การกำหนดมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจ และการบังคับใช้มาตรการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างจริงจัง  

ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. ผู้ประกอบธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่งจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ยกระดับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเน้นหนักใน 2 มิติหลัก คือ  

  • ด้านเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจการเงิน: ธปท. จะมุ่งเน้นการบริหารจัดการความเสี่ยงและติดตามข้อมูลการประกอบธุรกิจอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแลสามารถประเมินสถานการณ์หนี้ครัวเรือนได้อย่างแม่นยำ และออกนโยบายที่เหมาะสมเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจการเงิน 
  • ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค: นี่คือหัวใจสำคัญของการกำกับดูแล โดย ธปท. จะใช้อำนาจในการกำหนดให้ผู้ประกอบการมี มาตรฐานการให้บริการที่เป็นธรรม การคิดคำนวณดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต้องมีความ โปร่งใสและสมเหตุสมผล และที่สำคัญที่สุดคือ การมีอำนาจในการ ตรวจสอบ สั่งแก้ไข และลงโทษ ผู้ที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตาม พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 ซึ่งรวมถึงโทษปรับหรือโทษจำคุก

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,139 วันที่ 12 - 15 ตุลาคม พ.ศ. 2568