ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวในงานสัมนา Thailand SMART SME 2025 “SmartSolutions & Sustainable Growth” ช่วง SMART FINANCIAL SOLUTIONS จัดโดยโพสต์ทูเดย์ ว่า สถานการณ์โลกในปัจจุบันที่กำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันหลายด้าน ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนและผันผวนอย่างมาก ทั้งกฎระเบียบการค้าโลกใหม่ที่ "ไม่มีกติกา"จากนโยบายภาษีประธานาธิบดีทรัมป์
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้น ความไม่แน่นอนและความผันผวนที่คาดเดาไม่ได้ และปัญหาการเข้าถึงสภาพคล่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินเชื่อเอสเอ็มอีที่หดตัวถึง 5% ทำให้ธนาคารภาครัฐต้องเข้ามามีบทบาทในการรับความเสี่ยงและปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
ขณะที่ในระยะยาว ผู้ประกอบการยังต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยง ได้แก่ ภาวะโลกร้อน (Climate Change) ผลกระทบของ Climate Change มาตรการกีดกันทางการค้าสีเขียว เช่น มาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของยุโรปที่จะเริ่มใช้ในปีหน้าในหมวดสินค้าแรกเริ่ม และจะขยายขอบเขตมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ประกอบการต้องเตรียมตัวและพิจารณาสินเชื่อ Green Loan เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและนับ Carbon Creditขณะเดียวกัน ยังมีเรื่องวิกฤตทางการเงิน และโรคระบาด เป็นต้น
สำหรับ EXIM Bank มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ โดยเรามีมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท เพื่อดูแลผู้ประกอบการส่งออกโดยเฉพาะ ได้แก่ ลดดอกเบี้ยทันที 20%, ยืดหนี้ 365 วัน (ไม่เคยมีมาก่อน), และเติมสภาพคล่อง
นอกจากนี้ ธนาคารยังสนับสนุนการหาตลาดใหม่ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและอำนาจการต่อรอง โดย EXIM Bank สนับสนุนสินเชื่อ Soft Loan สำหรับการออกงานแสดงสินค้าต่างประเทศ และพร้อมให้การสนับสนุนร่วมกับกระทรวงพาณิชย์
ขณะเดียวกัน ธนาคารยังรับประกันความเสี่ยงการชำระเงินของคู่ค้าต่างประเทศ ทั้งนี้ ยังมีสินเชื่อที่ช่วยลดต้นทุนทางการเงิน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำเวลาหรือต้นทุนที่เหลือไป "พัฒนาสินค้าและพัฒนาตลาดใหม่ๆ"
ด้านน.ส.ลลนา เถกิงรัศมี ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงาน สสว. กล่าวว่า สสว. มีมาตรการสนับสนุน SME ในตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เนื่องจากตลาดดังกล่าวมีขนาดใหญ่มาก กว่า 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งสามารถเข้าถึงได้เกือบ 800,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังมีแต้มต่อ SME โดยสามารถเสนอราคาสูงกว่าธุรกิจอื่น 10% และถ้าเป็น Made in Thailand จะได้แต้มต่อถึง 15% ส่วนการซื้อจัดจ้างขนาดเล็ก ไม่เกิน 500,000 บาท กำหนดให้ต้องเลือกซื้อจาก SME ก่อน
ขณะเดียวกัน ยังมีการอบรมทั่วประเทศเพื่อให้ SME เข้าใจและใช้ประโยชน์จากมาตรการนี้ โดยสสว. พร้อมให้ความรู้แก่ SME มีระบบจับคู่ SME กับที่ปรึกษาที่เหมาะสมกับปัญหาธุรกิจ และมีศูนย์บริการ OSS (One Stop Service SME ครบวงจร)