SME D Bank อัดสินเชื่อ-เติมความรู้ อุ้มเอสเอ็มอีฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ

24 ก.ค. 2568 | 08:52 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ก.ค. 2568 | 09:16 น.

SME D Bank เปิดคววามท้าทายเอสเอ็มอี พร้อมอัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เติมความรู้ หนุนผู้ประกอบการฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ

นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวในงานสัมนา Thailand SMART SME 2025 “SmartSolutions & Sustainable Growth” จัดโดยโพสต์ทูเดย์ ว่า

ปัจจุบันเอสเอ็มอีกำลังเผชิญความท้าทายในหลายด้าน ทั้งการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ผลกระทบจากภัยพิบัติ ความเปราะบางต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงโควิด-19 มาจนถึงปัจจุบันรวมทั้งข้อจำกัดในการบริหารจัดการ โดยเฉพาะ Micro SME มีข้อจำกัดในด้านการบริหารเงิน นวัตกรรม/เทคโนโลยี และการตลาด

นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.)

ทั้งนี้ จากการสำรวจเอสเอ็มอีกว่า 9,000 ราย ผ่านแพลตฟอร์ม DX ของ SME Bank พบว่า เอสเอ็มอีมีข้อจำกัดที่แตกต่างกันไปตามขนาดของธุรกิจ โดย Micro SME (รายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาท) เผชิญความท้าทายในการบริหารเงินคือ ไม่ให้ความสำคัญกับการจัดทำเอกสารทางการเงิน ทำให้เข้าถึงสินเชื่อยาก ไม่ทราบถึงเทคโนโลยีที่ควรนำมาใช้ และมีข้อจำกัดในการขายออนไลน์

ขณะที่ Small SME นั้น เผชิญกับการขาดระบบบัญชีที่ถูกต้อง รวดเร็ว และโปร่งใส รับทราบเทคโนโลยี แต่ไม่กล้าลงทุน เพราะมองว่าไม่คุ้มค่าสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ส่วนMedium SME นั้น ยังสร้างวัฒนธรรมการใช้เทคโนโลยีไม่เข้มข้นเท่าที่ควร

สำหรับ SME Bank เราพร้อมเข้าไปเสริมสร้างความรู้และศักยภาพก่อนการให้สินเชื่อ ควบคู่ไปกับการบรรเทาภาระหนี้สิน โดยมีเครื่องมือและโครงการสำคัญ ได้แก่ DX Platform แพลตฟอร์มที่อำนวยความสะดวกให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนและยกระดับธุรกิจ และยังการส่งเสริมการตลาด อาทิ ช่วยลูกค้าเรียนรู้วิธีการขายออนไลน์ ตั้งแต่การทำข้อมูลหลังบ้าน การปรับตะกร้าสินค้า และการบริหารจัดการ เป็นต้น

นอกจากนี้ เรายังได้เข้าไปช่วยเหลือเอสเอ็มอีตามนโยบายของรัฐ อย่างโครงการ "คุณสู้เราช่วย" ช่วยเอสเอ็มอีแก้ไขหนี้ โดยการชำระหนี้ 50% แล้วนำไปตัดเงินต้นทั้งหมด พักดอกเบี้ยไว้ เพื่อลดภาระให้ลูกค้า ทั้งนี้ ยังมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าให้ชำระหนี้ตามความสามารถ "เมื่อเป็นหนี้แล้ว อย่ากลัว กลับเข้ามาคุยกัน"

นายพิชิต กล่าวว่า SME Bank ยังมีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) ของธนาคารเอง มาดูแลเอสเอ็มอี 3 โครงการ ได้แก่ 

โครงการ "ปลุกพลัง SME" สำหรับ SMEs ที่มีรายได้ไม่เกิน 2 ล้านบาทอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% เป็นเวลา 3 ปี (ต่ำกว่า Soft Loan ทั่วไป) วงเงินกู้สูงสุด 10 ปี ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน (ใช้ บสย. ค้ำประกันเต็มจำนวน)

สินเชื่อ "SME Green Productivity" สำหรับเอสเอ็มอีทุกกลุ่มที่ต้องการใช้พลังงานสะอาด (เช่น ติดตั้ง Solar Roof) หรือปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ วงเงินสูงสุด 10 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% เป็นเวลา 3 ปี ไม่ต้องใช้หลักประกัน (ใช้ บสย. ค้ำประกันเต็มจำนวน)

และสินเชื่อสำหรับ SMEs ที่เติบโตขึ้น สำหรับ SMEs ที่มีรายได้เกิน 2 ล้านบาท วงเงินสูงสุด 15 ล้านบาทต่อราย เพื่อช่วยลดภาระดอกเบี้ย

ทั้งนี้ บนความท้าทายของเอสเอ็มอีนั้น จะต้องมีการปรับตัวและการเติมความรู้ ภาระต้นทุนทางการเงิน และการสื่อสารกับเจ้าหนี้ ส่วนการส่งออกนั้น มองว่าเอสเอ็มอีไทยมีศักยภาพในการผลิตสินค้าคุณภาพสูง โดยเฉพาะกลุ่มอาหารแปรรูป/เกษตรแปรรูป ซึ่งเป็นที่นิยมในต่างประเทศ ควรส่งเสริมให้ SMEs "โกอินเตอร์"

“สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เอสเอ็มอีอยู่รอดได้ ก็คือการปรับตัว การปรับตัวที่เติมความรู้ ปรับเปลี่ยนธุรกิจให้เหมาะสมกับสถานการณ์ หากเอสเอ็มอีไม่ปรับตัว จะได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน”