นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยในการปาฐกถาในงาน THAILAND SMART SME 2025 SMART “SOLUTION & SUSTAINABLE GROWTH” ซึ่งจัดโดยโพสต์ทูเดย์ ว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก มากกว่าที่จะมุ่งกังวลแต่เรื่องภาษีตอบโต้ทางการค้า (Countervailing Duty) ซึ่งมีแนวโน้มจะประกาศใช้ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้
ทั้งนี้ มองว่า Dump อาจจะน่ากลัวกว่า Trump ซึ่งหมายถึงสินค้าที่อาจไหลทะลักเข้ามาจากจากซัพพลายส่วนเกินที่เกิดขึ้น ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ดังนั้นการจัดการกับปัญหาภายในประเทศที่เร่งด่วนกว่า แทนที่จะมัวแต่คาดการณ์อัตราภาษีหรือมุ่งเจรจาเพียงอย่างเดียว
โดยสิ่งที่ควรทำคือการจัดการปัญหาภายในประเทศ ทำให้ประเทศไทยแข็งแรงและมีความพร้อมที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลง ซึ่ง5 โจทย์หลักที่ไทยต้องเร่งดำเนินการ ประกอบด้วย
1. การปราบปรามอุตสาหกรรมและธุรกิจศูนย์เหรียญ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่เข้ามาแย่งพื้นที่ทำมาหากิน ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น เหล็ก พลาสติก และปิโตรเคมี ที่ผ่านมาไทยเปิดพื้นที่ให้อุตสาหกรรมเหล่านี้โดยเข้าใจผิดว่าการลงทุนมาผลิตในประเทศจะดีทั้งหมด แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ ทั้งการนำเข้าวัตถุดิบมา
ซึ่งธุรกิจดังกล่าวเหล่านี้มักไม่จ้างแรงงานท้องถิ่น และนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียมูลค่า คุณภาพ และปัญหาสิ่งแวดล้อม สิ่งเรื่องดังกล่าวเหล่านี้ทำให้ความเชื่อมั่นต่อสินค้าไทยจะหายไปด้วย
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมากระทรวงฯเร่งรื้อโครงสร้างการกำหนดมาตรฐาน โดยเฉพาะมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) สำหรับสินค้าสำคัญอย่างสายไฟ เหล็ก และยางล้อ รวมถึงจัดการธุรกิจรีไซเคิลที่ได้รับใบอนุญาตจำนวนมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาแต่กลับลดต้นทุนด้วยการลดคุณภาพมาขายแข่งในประเทศ
นายเอกนัฏ กล่าวอีกว่า หากกลุ่มเหล่านี้ยังคงอยู่ ธุรกิจที่ดีของไทยก็อยู่ไม่ได้ ปัจจุบันมีการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ (DSI), กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.), กรมศุลกากร, และกรมสรรพสามิต เพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านี้
2. มาตรการดูแลสินค้านำเข้าที่กำลังทะลักเข้ามาในประเทศ ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน สินค้าที่เคยผลิตเพื่อส่งออกแต่ไม่สามารถส่งออกได้กำลังทะลักเข้ามาขายในประเทศอื่น รวมถึงไทย การนำเข้าต้องเป็นไปอย่างยุติธรรม มีมาตรฐานไม่ใช่สินค้าเถื่อนโดยเฉพาะสินค้าที่ซื้อขายทางออนไลน์ ซึ่งมีช่องโหว่ทางกฎหมายทำให้ตรวจสอบผู้ขายได้ยาก
3. กระแสชาตินิยมและปลุกการบริโภคสินค้าในประเทศ ปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อส่งเสริมการบริโภคสินค้าไทย และผลักดันนโยบาย Thai Gift Policy โดยเสนอให้เปลี่ยนจากการมี no gift policy สำหรับข้าราชการ มาเป็นการสนับสนุนการซื้อของขวัญที่เป็นสินค้าไทยแทน พร้อมทั้งแนะนำให้หน่วยงานภาครัฐ เช่น กองทัพ หรือโรงพยาบาล เริ่มจัดซื้อสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยคนไทยมากขึ้น
4. การส่งเสริมความสามารถของคนไทย การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ประเด็นนี้ครอบคลุมการพัฒนาทรัพยากรบุคคล (Human Resource Capability) การถ่ายทอดเทคโนโลยี การทำวิจัยและพัฒนา (R&D) ในประเทศ รวมถึงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม การลงทุนที่เข้ามาควรต้องมีเงื่อนไขให้เกิดการลงทุนตรงกับคนไทยและธุรกิจไทย
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาได้มอบนโยบายให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จัดทำมาตรการที่จูงใจนักลงทุน โดยการขยายพื้นที่ขายเพิ่มขึ้นจาก 1 หมื่นไร่เป็น 3 หมื่นไร่ แต่จะต้องกำหนดพื้นที่ให้กับ SMEs 5% ในพื้นที่นิคมฯ ด้วยเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย
นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการพัฒนาคนโดยให้มีศูนย์ฝึกอบรมหรือ Academy ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม โดยมีภาคเอกชนร่วมลงทุน เพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน เช่น ทักษะด้าน Automation, Digital, และ AI
5. ลดอุปสรรคการดำเนินธุรกิจ (Ease of Doing Business) โดยมีเป้าหมายคือการสร้างระบบที่รวดเร็วและสุจริต มีกติกาที่สะดวกรวดเร็วสำหรับธุรกิจที่ต้องการเข้ามาลงทุนและทำมาค้าขายในประเทศไทย กระบวนการออกใบอนุญาตที่ล่าช้าเป็นอุปสรรคสำคัญ แม้แต่ประเทศอย่างสิงคโปร์ที่ไม่มีทรัพยากรมากนักก็สามารถขับเคลื่อนประเทศด้วยนโยบายที่ส่งเสริมความรวดเร็ว โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ
“หาก SMEs ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบเศรษฐกิจตายลง เศรษฐกิจของประเทศก็ไปต่อไม่ได้ ดังนั้น นโยบายเหล่านี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการช่วยปกป้อง SMEs ของไทย แต่ยังเป็นการเซฟเศรษฐกิจขอ’ไทยด้วย ทั้ง 2 เรื่องแยกออกกันไม่ได้"