นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง และประธานกรรมการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ยืนยันว่าจะไม่ดึง การบินไทย กลับเข้ามาเป็นรัฐวิสาหกิจ จะยังคงสถานะเอกชนต่อไปเพื่อความคล่องตัวและมีความอิสระในการดำเนินธุรกิจการบิน โดยมองว่าโครงสร้างผู้ถือหุ้นในปัจจุบันมีความเหมาะสมแล้ว โดยสัดส่วนที่กระทรวงการคลังถืออยู่ 36% ถือว่าเหมาะสม รัฐบาลจะไม่มีส่วนในการบริหารจัดการ แต่พร้อมให้การสนับสนุนการบินไทยในฐานะสายการบินแห่งชาติ
สำหรับคณะกรรมการชุดใหม่ประกอบด้วยกรรมการ 11 ท่าน ซึ่งจำนวน 3 ท่าน เป็นกรรมการของบริษัทตั้งแต่ในช่วงก่อนเข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการ และกรรมการสองในสามท่านดังกล่าวยังเป็นอดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ ตลอดจนประกอบด้วยกรรมการเข้าใหม่ 8 ท่านที่ได้รับการแต่งตั้งโดยผู้ถือหุ้นผ่านการพิจารณาตาม Board Skills Matrix เพื่อให้ครอบคลุมความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ
อาทิ ธุรกิจการบิน การเงิน กฎหมาย กลยุทธ์ การตลาด และเทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมด้วยคณะกรรมการชุดย่อย ได้แก่ คณะกรรรมการตรวจสอบและคณะกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน เพื่อดูแลทุกมิติ โดยเชื่อว่าคณะกรรมการและฝ่ายบริหารพร้อมร่วมทำงานสนับสนุนซึ่งกันและกัน โดยยังคงมีทีมผู้บริหารจากในช่วงกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ซึ่งช่วยให้สามารถสานต่อการดำเนินงานของการบินไทยได้อย่างมั่นคง
นอกจากนี้ หากหุ้น THAI กลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ตามแผนในวันที่ 4 สิงหาคม และบริษัทยังคงมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ก็มีความเป็นไปได้ที่จะพิจารณาจ่ายเงินปันผลได้ภายในปีนี้
นาย ชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การกลับมาซื้อขายในวันที่ 4 สิงหาคมนี้ จะเป็นไปตามกลไกตลาด (bid-offer) ณ วันที่เปิดการซื้อขาย สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุน ให้พิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัท เช่น งบการเงิน โดยหากพิจารณากำไรต่อหุ้น (EPS) ย้อนหลัง 1 ปี จะอยู่ที่ 1.08 บาทต่อหุ้น
ทั้งจากการวางโครงสร้างและกลยุทธ์ระยะยาวที่ชัดเจน อาทิ การปรับโครงสร้างองค์กรให้คล่องตัว และการปรับปรุงฝูงบินโดยตั้งเป้ามีเครื่องบิน 150 ลำในปี 2576 และลดจำนวนแบบเครื่องบินจาก 8 แบบก่อนเข้าแผนฟื้นฟูกิจการเหลือเพียง 4 แบบ เพื่อควบคุมต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
"การบินไทย ตั้งเป้าในปี 2576 จะมีฝูงบินเพิ่มเป็น 150 ลำ จากปัจจุบันที่มี 78 ลำ พร้อมตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์เพิ่มเป็น 35% ภายในปี 2572 จากปัจจุบันที่ 26% เหมือนที่เคยทำได้ในอดีตที่ผ่านมา และเตรียมขยายเส้นทางและความถี่ในการบินเพื่อมุ่งสู่การเป็น regional network airline เชื่อมต่อระดับภูมิภาคและระหว่างทวีป"
นอกจากนี้ สัญญาณจากการจองตั๋วล่วงหน้ายังคงแสดงทิศทางที่ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และบริษัทฯ มีแผนจะรักษาฐานลูกค้าในระยะยาวผ่านโปรแกรมสะสมไมล์ Royal Orchid Plus ที่จะมอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ และเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานผ่านแอปพลิเคชันด้วย
นางสาวเฉิดโฉม เทอดสถีรศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงินและการบัญชี บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถานะทางการเงินของการบินไทยในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งอย่างมาก โดยผลประกอบการปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนต้นทุนทางการเงินไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) สูงถึง 41,515 ล้านบาท และยังคงรักษาการเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 1/2568 ด้วยกำไรจากการดำเนินงาน 13,661 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตรากำไร (EBIT margin) ที่ 26.5% สูงที่สุดในกลุ่มสายการบินที่ให้บริการเต็มรูปแบบในเอเชียแปซิฟิกและยุโรป
ความสำเร็จจากการฟื้นฟูกิจการยังสะท้อนผ่านส่วนของผู้ถือหุ้นที่กลับมาเป็นบวกที่ 55,439 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 จากที่เคยติดลบกว่า 4.3 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2563
สำหรับแผนการลงทุน 5 ปีข้างหน้า วางงบลงทุนไว้ที่ 1.7 แสนล้านบาท จะใช้สำหรับการจัดหาเครื่องบินตามแผน, ปรับปรุงเครื่องบินเดิม, ซ่อมบำรุง และพัฒนาระบบดิจิทัลต่างๆ
โดยปัจจุบันการบินไทยมีกระแสเงินสดในมืออยู่ราว 1.2 แสนล้านบาท เพียงพอสำหรับรองรับแผนการลงทุนดังกล่าว และบริษัทยังไม่มีแผนที่จะกู้ยืมเพิ่มเติมในระยะสั้น