แม้ว่าจะมีสัญญาณเตือนทางเศรษฐกิจ แต่ตลาดสินค้าแบรนด์เนม ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นจากอัตราการเติบโตของมูลค่าตลาดสินค้าแบรนด์เนมทั่วโลกที่สูงขึ้นทุกปี โดยปี 2565 มีมูลค่าสูงถึง 13 ล้านล้านบาท ซึ่งในประเทศไทยเองก็มีมูลค่าตลาดกว่า 1.41 แสนล้านบาทและประมาณการณ์ว่า ปี 2566 จะเติบโต 9-11%
หลังประสบความสำเร็จจากการเปิดตัว “bagforcash” ธุรกิจขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนมไปเมื่อเดือนมีนาคม 2566 “เสาวนีย์ ผไทวณิชย์” จึงจัดตั้งบริษัท เงินเรื่องจิ๊บ จำกัด ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 60 ล้านบาท จนกระทั่งได้รับใบอนุญาตสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พร้อมกับการเปิดตัว “Jipjip Money” สินเชื่อสำหรับสินค้าแบรนด์เนม
“ส่วนตัวเริ่มเก็งกำไรจากกระเป๋าเมื่ออายุ 20 ปี แบบชอบก็ซื้อ เบื่อก็ขายและขายได้ราคาด้วย ต่อมาเปลี่ยนเป็น “รับซื้อจ่ายเงินสด” ใครต้องการเงินด่วน ขายกระเป๋าราคาพิเศษ พอซื้อแล้ว ก็เริ่มโพสต์ขายกระเป๋าใบเก่าผ่านเพจ “สยามแบรนด์เนม” แล้วพอเริ่มรู้จักแม่ค้า ร้านค้าใหญ่เยอะขึ้น ก็เริ่มปล่อยกู้ให้แม่ค้าไปปล่อยกู้ต่อ ซึ่งถือว่าไม่ถูกกฎหมาย จึงยื่นขอรับใบอนุญาตจากธปท.ปลายปี 2564” นางสาวเสาวนีย์ ผไทวณิชย์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท เงินเรื่องจิ๊บ จำกัดบอกเล่าที่มาที่ไปกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ก่อนจะกลายมาเป็น “Jipjip Money”
นางสาวเสาวนีย์กล่าวต่อว่า หลังเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา ล่าสุดมีลูกค้าที่ Active แล้ว 4 รายจาก 15ราย โดยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ร้านค้าพันธมิตร 20 แห่งจะช่วยทำตลาด จากนั้นบริษัทจะเพิ่มร้านค้าพันธมิตรเข้ามาเดือนละ 10-15 รายและต่อไปอยากให้ทุกร้านค้าเข้ามาเป็นพันธมิตร โดย Jipjip Money จะเป็นตัวกลางในการปล่อยสินเชื่อ เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าเข้าถึงและเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์แบรนด์เนมที่มีคุณภาพ ร้านค้าขายสินค้าได้คล่องตัวขึ้น
ส่วนหลักการพิจารณาสินเชื่อนั้น หากลูกค้าตกลงซื้อสินค้าในราคาที่ร้านค้าตั้งราคาไว้ได้ ทางร้านค้าจะส่งลูกค้าให้ “Jipjip Money” เพื่อพิจารณาคุณสมบัติ หากลูกค้าผ่านเกณฑ์ ทางร้านจะต้องส่งสินค้าให้กับบริษัท ซึ่่งเราจะมีฐานข้อมูลราคากลางและตรวจสอบคุณภาพสินค้าผ่าน AI และผู้เชี่ยวชาญ มีความแม่นยำกว่า 99% ขณะเดียวกัน ถ้าพบร้านค้าพันธมิตรส่งสินค้าปลอม เราจะมีการเตือนครั้งแรกและถ้าทำผิดซ้ำสอง จึงจะยกเลิกสัญญา ซึ่งเป็นการปกป้องเราและลูกค้าด้วย
สำหรับวงเงินสินเชื่อต่อสัญญาตั้งแต่ 30,000 บาทถึง 1 ล้านบาท คิดดอกเบี้ย 1.59-1.99% ต่อเดือนเฉลี่ย 19-24% ต่อปี จากเพดานที่กำหนดไม่เกิน 25% ต่อปี พร้อมเป็น marketplace ให้ลูกค้า หากต้องการขายหรือเปลี่ยนสินค้าใหม่ โดยมีศูนย์รวมร้านช่วงทำตลาดและอบรมร้านค้าพันธมิตร ภายใต้กระบวนการรับเอกสารประเมินสินเชื่อผ่านเพจ “Jipjip Money Shopping” ทำให้ลูกค้าได้รับเงินไว ซึ่งเราปล่อยสินเชื่อโดยตัดปัญหาคนกลาง
ส่วนบริการขายฝาก “bagforcash” นั้น นางสาวเสาวนีย์กล่าวว่า ผลตอบรับเป็นที่พอใจ มีลูกค้า 1,400 สัญญา หลังเริ่มทดลองตลาดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยระหว่างทาง 8 เดือน จะมีลูกค้ามาไถ่ถอนบ้าง หรือปิดสัญญาเก่า แล้วนำกระเป๋าใบใหม่มาวาง ทำให้คงเหลือสัญญาที่ี Active 1,200 ราย รวมวงเงินเกือบ 200 ล้านบาท โดยที่มีผิดนัดชำระ (Default) น้อยแค่ 2% เพราะสินค้าแบรนด์เนมมีคุณค่าทางจิตใจและคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำ
สำหรับเงื่อนไข “รับขายฝาก”ระยะเวลา 3เดือนต่อสัญญาจะทำสัญญา ยกตัวอย่าง ลูกค้าขายฝากวงเงิน 100,000 บาท ทำสัญญา 3 เดือนไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเป็นรายเดือน เมื่อครบกำหนดลูกค้าจะจ่ายทั้งหมด 103,750 บาท ปิดบัญชีก็ได้หรือจะเลือกต่อสัญญาจ่ายเฉพาะดอกเบี้ย ซึ่งขณะนี้้วงเงินขายฝากขั้นต่ำกำหนดที่ 10,000 บาทถึงสูงสุด 2 ล้านบาทต่อราย
“ลูกค้าที่เคยใช้บริการที่อื่นถูกชาร์จดอกเบี้ย 5-10% ต่อเดือน บางรายร้อนเงิน ยอมถูกชาร์จดอกเบี้ย 10%ต่อการขายฝาก 15 วัน หรือลูกค้าขาดเงินระยะสั้น 5 ล้านบาท ก็ใช้กระเป๋ามาขายฝากได้ เพราะต้องการเงินด่วนและลดขั้นตอนแทนการไปแบงก์ พอ Jipjip Money เปิดตัวด้วยดอกเบี้ย 1.25% ต่อเดือน ลูกค้าก็ย้ายมาที่เราบ้าง”
สำหรับโครงสร้างรายได้หลักมาจากอัตราดอกเบี้ย, ค่าธรรมเนียม 2% และค่าเช่าตู้เซฟ 500-1,000บาทต่อเดือน ส่วนจุดคุ้มทุนนั้นเฉพาะ bagforcash ถึงจุดคุ้มทุนตั้งแต่อนุมัติวงเงิน
ไป 30 ล้านบาท เพราะควบคุมค่าใช้จ่ายด้านพนักงานและงบทำการตลาด แต่อนาคตต่อไปบริษัทจะเพิ่มงบในการทำตลาดมากขึ้น
นางสาวเสาวนีย์กล่าวถึงเป้าหมายรายได้ว่า เบื้องต้นค่อนข้าง Conservative โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 40 ล้านบาทคือ รับขายฝาก 30 ล้านบาทและปล่อยสินเชื่ออีก 10 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่า จะทำได้มากกว่าที่ตั้งไว้ และในระยะข้างหน้า คาดหวังแค่ 1% ต่อเดือน จากมูลค่าตลาดสินค้าแบรนด์เนม 3 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่า มหาศาล
“ตลาดสินค้าแบรนด์เนม มีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยพฤติกรรมของคนที่นิยมใช้สินค้าพรีเมี่ยมหรือแบรนด์เนมมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับแฟชั่น ใช้งานได้จริง เสริมบุคลิกภาพและทำกำไรได้เปลี่ยนมือได้” นางสาวเสาวนีย์ กล่าวทิ้งท้าย
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,937 วันที่ 5 - 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566