“MINT” ดีเดย์ขายหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ ดอกเบี้ย 5 ปีแรก 6.10%

24 ส.ค. 2565 | 12:36 น.

บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MINT เตรียมเปิดขายหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ชุดใหม่ 1-2 และ 5-6 กันยายนนี้ ให้กับประชาชนเป็นการทั่วไป รวมถึงผู้ถือหุ้นกู้ชุดเดิมที่ไถ่ถอนก่อนกำหนด จ่ายดอกเบี้ย 5 ปีแรก 6.10% ต่อปี

นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยว่า บริษัทฯจะเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท (หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์) ครั้งที่ 1/2565 ระหว่างวันที่ 1-2 และ 5-6 กันยายน 2565 จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท มูลค่ารวมไม่เกิน 10,000 ล้านบาท และมีหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติมไม่เกิน 3,000 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 13,000 ล้านบาท

“MINT” ดีเดย์ขายหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ ดอกเบี้ย 5 ปีแรก 6.10%

หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ชุดใหม่ กำหนดอัตราดอกเบี้ยช่วง 5 ปีแรกที่ 6.10% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน และจะปรับอัตราดอกเบี้ยทุก 5 ปี อ้างอิงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี โดยจะเสนอขายให้กับผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ชุดเดิม (MINT18PA) ที่จะไถ่ถอนก่อนกำหนดในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ โดยผู้ถือหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ชุดเดิมจะได้รับชำระคืนเงินต้นในวันที่ไถ่ถอนและสามารถนำเงินดังกล่าวมาลงทุนอย่างต่อเนื่องในหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ชุดใหม่ของบริษัทฯ

ทั้งนี้บริษัทฯ ได้รับการยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือที่ “A” แนวโน้ม “Stable” และหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ ชุดใหม่ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ “BBB+” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2565 นอกจากนี้ นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่มีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลก บริษัทฯ ยังคงสามารถจ่ายผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ได้อย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำถึงศักยภาพธุรกิจและฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง

 

นายชัยพัฒน์กล่าวว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายกลับมาทำกำไรภายในปีนี้ หลังจากทั่วโลกคลายความกังวลจากสถานการณ์ COVID-19 โดยมีการเปิดประเทศ ผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทางและมาตรการล็อกดาวน์ ตลอดจนทยอยประกาศให้ COVID-19 เป็นโรคประจำถิ่น ส่งผลให้ภาพรวมการท่องเที่ยวทั่วโลกฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องนับจากปีที่ผ่านมา และเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญต่อการดำเนินธุรกิจของ MINT ทั้ง 3 กลุ่มคือ ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และไลฟ์สไตล์ ที่มีผลการดำเนินปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม 32,181 ล้านบาท เติบโต 106% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมี EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อม) 9,059 ล้านบาท เติบโต 192% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยธุรกิจโรงแรมที่เป็นสัดส่วนรายได้หลักฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง สำหรับโรงแรมในยุโรป มีอัตราเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 68% ส่วนราคาห้องพักเฉลี่ยอยู่ที่ 130 ยูโรต่อคืน เพิ่มขึ้นถึงเกือบ 60% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) ที่ 89 ยูโร สูงกว่าปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดโรค COVID-19

 

ส่วนธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยทยอยฟื้นตัวหลังจากเปิดประเทศ ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติเพิ่มขึ้น เช่น อินเดีย และยุโรป เป็นต้น โดยไตรมาส 2/2565 ธุรกิจโรงแรมในไทย มีอัตราเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 43% ขณะที่ราคาห้องพักเฉลี่ย เพิ่มขึ้น 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) 2,213 บาท เพิ่มขึ้น 300% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

“MINT” ดีเดย์ขายหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ ดอกเบี้ย 5 ปีแรก 6.10%

ขณะที่ธุรกิจร้านอาหาร มีกำไรติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 8 จากการปรับตัวมุ่งพัฒนาเมนูอาหารใหม่ นำเสนอโปรโมชั่นที่สามารถกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ สร้างประสบการณ์ที่ดีและแตกต่างแก่ผู้บริโภค โดยร้านอาหารแต่ละทำเลอาจมีรูปแบบและคอนเซปต์ที่แตกต่างกัน นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามายกระดับการรับออเดอร์และชำระเงิน การทำสัญญาสั่งซื้อวัตถุดิบในระยะกลางและระยะยาวโดยใช้จุดแข็งด้านปริมาณการสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก ปรับราคาอาหารบางเมนูที่จะไม่กระทบต่อผู้บริโภค รวมถึงมุ่งสร้างแบรนด์ให้เป็น Top of Mind ที่ผู้บริโภคนึกถึงเป็นอันดับ