Buy Now Pay Later ความสะดวกสินเชื่อที่เสี่ยงลามหนี้ครัวเรือนไทย

31 ธ.ค. 2568 | 01:00 น.
อัปเดตล่าสุด :31 ธ.ค. 2568 | 01:03 น.

SCB EIC เตือนการเข้าถึงสินเชื่อที่ง่ายขึ้น โดยเฉพาะ Buy Now Pay Later (BNPL) กำลังเพิ่มความเปราะบางทางการเงินให้ครัวเรือนไทย ขณะที่รายได้ฟื้นช้า หนี้ยังสูง และเสี่ยงกดดันการบริโภคภาคเอกชนต่อเนื่องในปี 2026

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC ประเมินว่า ภาวะการเงินของครัวเรือนไทยยังคงเปราะบาง และมีความเสี่ยงด้านหนี้สินเพิ่มขึ้น แม้เศรษฐกิจจะทยอยฟื้นตัว แต่รายได้ครัวเรือนยังขยายตัวช้า ขณะที่การเข้าถึงสินเชื่อบางประเภท โดยเฉพาะสินเชื่อดิจิทัลและ Buy Now Pay Later (BNPL) ทำให้พฤติกรรมการใช้จ่ายและการก่อหนี้มีความเสี่ยงมากขึ้น

โดย SCB EIC คาดว่า การบริโภคภาคเอกชนในปี 2568 มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง จากหลายปัจจัย ทั้งรายได้ที่ฟื้นตัวช้า ตลาดแรงงานที่เริ่มเปราะบาง สะท้อนจากการจ้างงานและจำนวนชั่วโมงทำงานที่ลดลง รวมถึงระดับสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ครัวเรือนต้องลดการใช้จ่ายเพื่อเร่งลดภาระหนี้ (Deleveraging)

จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคของ SCB EIC ในปี 2025 ซึ่งเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 1,631 คน ระหว่างวันที่ 20 สิงหาคม - 3 กันยายน 2025 พบว่า กว่า 70% ของผู้บริโภคมีรายได้เท่าเดิมหรือลดลง ขณะที่มากกว่า 90% เผชิญรายจ่ายเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราว 1 ใน 3 ประสบปัญหารายได้เติบโตช้ากว่ารายจ่าย โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ซึ่งกว่า 60% ระบุว่ากำลังเผชิญภาวะดังกล่าว

ขณะเดียวกัน กลุ่มรายได้สูงเริ่มแสดงสัญญาณความเปราะบางเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มผู้มีรายได้ 100,000-200,000 บาทต่อเดือน มีสัดส่วนผู้ที่ระบุว่ารายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่ายเพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งก่อน สะท้อนว่าความเสี่ยงทางการเงินไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มรายได้น้อยอีกต่อไป

SCB EIC ระบุว่า ปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันภาระหนี้สูง โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ซึ่งราว 1 ใน 3 มีสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) สูงกว่า 60% ขณะที่เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าการผ่อนชำระหนี้ในแต่ละเดือนเป็นภาระหนัก

แม้แต่กลุ่มรายได้สูงกว่า 100,000 บาทต่อเดือน ก็มีมากกว่า 20% ที่เริ่มกังวลต่อความสามารถในการชำระหนี้ สะท้อนความเสี่ยงที่อาจลุกลามจากกลุ่มรายได้น้อยไปสู่กลุ่มรายได้ปานกลางและสูง โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานอายุต่ำกว่า 40 ปี และผู้ที่มีหนี้หลายประเภท

หนึ่งในประเด็นที่ SCB EIC ให้ความสำคัญ คือ บทบาทของสินเชื่อดิจิทัล โดยเฉพาะ BNPL และสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชันมือถือ ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงสินเชื่อ โดยมีผู้ใช้งานกว่า 25% ของกลุ่มตัวอย่าง สูงกว่าสัดส่วนผู้ใช้บัตรกดเงินสด

อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ BNPL ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุน้อย รายได้น้อย และมีหนี้หลายประเภท โดยราว 1 ใน 3 มี DSR สูงกว่า 60% และกว่า 60% ยอมรับว่าการเข้าถึงสินเชื่อที่ง่ายขึ้นทำให้ใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มผู้ใช้ BNPL และสินเชื่อผ่านแอปมีแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้สูงกว่าสินเชื่อประเภทอื่นอย่างมีนัยสำคัญ

ความเชื่อมั่นต่ำ กดการใช้จ่ายก้อนใหญ่

ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงระมัดระวังการใช้จ่าย โดยให้ความสำคัญกับการชำระหนี้เป็นอันดับแรก ขณะที่กว่า 60% ไม่มีแผนซื้อบ้านหรือรถในปี 2026 จากความกังวลด้านรายได้ ดอกเบี้ย และภาระหนี้ แม้ในกลุ่มที่มีแผนซื้อกว่า 80% ยังประเมินว่าจะเผชิญข้อจำกัดด้านความสามารถในการซื้อ (Affordability)

SCB EIC มองว่า การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยต้องดำเนินควบคู่กันทั้งการ “แก้ไขหนี้เดิม” และ “ป้องกันการเกิดหนี้ใหม่” โดยภาครัฐควรช่วยเหลือกลุ่มรายได้น้อยแบบตรงจุด เร่งปรับโครงสร้างหนี้ และจัดตั้งคลินิกหนี้แบบครบวงจร ขณะที่สถาบันการเงินและผู้ให้บริการสินเชื่อต้องยึดหลักการปล่อยกู้แบบรับผิดชอบ

ในระยะยาว จำเป็นต้องเสริมภูมิคุ้มกันทางการเงินให้ครัวเรือน ผ่านการเพิ่มทักษะ สร้างรายได้ และควบคุมการปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อไม่ให้ความสะดวกในการเข้าถึงสินเชื่อ กลายเป็นกับดักหนี้ที่บั่นทอนการบริโภคและเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยในอนาคต