ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC ประเมินว่า ภาวะการเงินของครัวเรือนไทยยังคงเปราะบาง และมีความเสี่ยงด้านหนี้สินเพิ่มขึ้น แม้เศรษฐกิจจะทยอยฟื้นตัว แต่รายได้ครัวเรือนยังขยายตัวช้า ขณะที่การเข้าถึงสินเชื่อบางประเภท โดยเฉพาะสินเชื่อดิจิทัลและ Buy Now Pay Later (BNPL) ทำให้พฤติกรรมการใช้จ่ายและการก่อหนี้มีความเสี่ยงมากขึ้น
โดย SCB EIC คาดว่า การบริโภคภาคเอกชนในปี 2568 มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง จากหลายปัจจัย ทั้งรายได้ที่ฟื้นตัวช้า ตลาดแรงงานที่เริ่มเปราะบาง สะท้อนจากการจ้างงานและจำนวนชั่วโมงทำงานที่ลดลง รวมถึงระดับสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ครัวเรือนต้องลดการใช้จ่ายเพื่อเร่งลดภาระหนี้ (Deleveraging)
จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคของ SCB EIC ในปี 2025 ซึ่งเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 1,631 คน ระหว่างวันที่ 20 สิงหาคม - 3 กันยายน 2025 พบว่า กว่า 70% ของผู้บริโภคมีรายได้เท่าเดิมหรือลดลง ขณะที่มากกว่า 90% เผชิญรายจ่ายเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราว 1 ใน 3 ประสบปัญหารายได้เติบโตช้ากว่ารายจ่าย โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ซึ่งกว่า 60% ระบุว่ากำลังเผชิญภาวะดังกล่าว
ขณะเดียวกัน กลุ่มรายได้สูงเริ่มแสดงสัญญาณความเปราะบางเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มผู้มีรายได้ 100,000-200,000 บาทต่อเดือน มีสัดส่วนผู้ที่ระบุว่ารายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่ายเพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งก่อน สะท้อนว่าความเสี่ยงทางการเงินไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มรายได้น้อยอีกต่อไป
SCB EIC ระบุว่า ปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันภาระหนี้สูง โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ซึ่งราว 1 ใน 3 มีสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) สูงกว่า 60% ขณะที่เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าการผ่อนชำระหนี้ในแต่ละเดือนเป็นภาระหนัก
แม้แต่กลุ่มรายได้สูงกว่า 100,000 บาทต่อเดือน ก็มีมากกว่า 20% ที่เริ่มกังวลต่อความสามารถในการชำระหนี้ สะท้อนความเสี่ยงที่อาจลุกลามจากกลุ่มรายได้น้อยไปสู่กลุ่มรายได้ปานกลางและสูง โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานอายุต่ำกว่า 40 ปี และผู้ที่มีหนี้หลายประเภท
หนึ่งในประเด็นที่ SCB EIC ให้ความสำคัญ คือ บทบาทของสินเชื่อดิจิทัล โดยเฉพาะ BNPL และสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชันมือถือ ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงสินเชื่อ โดยมีผู้ใช้งานกว่า 25% ของกลุ่มตัวอย่าง สูงกว่าสัดส่วนผู้ใช้บัตรกดเงินสด
อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ BNPL ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุน้อย รายได้น้อย และมีหนี้หลายประเภท โดยราว 1 ใน 3 มี DSR สูงกว่า 60% และกว่า 60% ยอมรับว่าการเข้าถึงสินเชื่อที่ง่ายขึ้นทำให้ใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มผู้ใช้ BNPL และสินเชื่อผ่านแอปมีแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้สูงกว่าสินเชื่อประเภทอื่นอย่างมีนัยสำคัญ
ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงระมัดระวังการใช้จ่าย โดยให้ความสำคัญกับการชำระหนี้เป็นอันดับแรก ขณะที่กว่า 60% ไม่มีแผนซื้อบ้านหรือรถในปี 2026 จากความกังวลด้านรายได้ ดอกเบี้ย และภาระหนี้ แม้ในกลุ่มที่มีแผนซื้อกว่า 80% ยังประเมินว่าจะเผชิญข้อจำกัดด้านความสามารถในการซื้อ (Affordability)
SCB EIC มองว่า การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยต้องดำเนินควบคู่กันทั้งการ “แก้ไขหนี้เดิม” และ “ป้องกันการเกิดหนี้ใหม่” โดยภาครัฐควรช่วยเหลือกลุ่มรายได้น้อยแบบตรงจุด เร่งปรับโครงสร้างหนี้ และจัดตั้งคลินิกหนี้แบบครบวงจร ขณะที่สถาบันการเงินและผู้ให้บริการสินเชื่อต้องยึดหลักการปล่อยกู้แบบรับผิดชอบ
ในระยะยาว จำเป็นต้องเสริมภูมิคุ้มกันทางการเงินให้ครัวเรือน ผ่านการเพิ่มทักษะ สร้างรายได้ และควบคุมการปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อไม่ให้ความสะดวกในการเข้าถึงสินเชื่อ กลายเป็นกับดักหนี้ที่บั่นทอนการบริโภคและเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยในอนาคต