แบงก์ชาติเผย 4ปัจจัย หนุนเศรษฐกิจเดือนพ.ย.2568 ขยายตัวดีขึ้น จับตา!5ปัจจัยกระทบธุรกิจ

30 ธ.ค. 2568 | 10:23 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ธ.ค. 2568 | 11:05 น.

ธปท.เผยเศรษฐกิจเดือนพ.ย.ดีขึ้น 4ปัจจัยหนุน “ส่งออก รายรับท่องเที่ยว ลงทุนเอกชนและภาครัฐ” ในระยะข้างหน้าจับตา 5ปัจจัยกระทบธุรกิจ หลังผลสำรวจธุรกิจเผชิญอุปสรรค "ปรับราคาสินค้ายาก-กำลังซื้ออ่อนแอ"

นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยระบุว่าเศรษฐกิจไทยเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาดีขึ้นกว่าเดือนก่อนหน้า โดยเครื่องชี้ด้านการส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำเพิ่มขึ้น 2.0%จากเดือนก่อนหน้า   เป็นการปรับเพิ่มขึ้นในหลายหมวด

โดยเฉพะหมวดเครื่องประดับ(ส่งออกเครื่องประดับไปอินเดีย) สินค้าอิเล็กทรอนิกส์(ส่งออกอุปกรณ์โทรคมนาคมไปสหรัฐ,ส่งออกคอมพิวเตอร์ไปจีน)และส่งออกเหล็กกับโลหะ(ดีขึ้นตามการส่งออกอลูมิเนียมและทองแดงไปจีน)

สำหรับการส่งออกบางหมวดที่ปรับลดได้แก่ หมวดเกษตรแปรรูป (ส่งออกน้ำมันปาล์มไปอินเดียปรับลดเนื่องจากเร่งส่งออกไปแล้วช่วงก่อนหน้า) หมวดยานยนต์(จากการส่งออกรถกะบะไปตะวันออกกลาง อาเซียนและเม็กซิโกที่อุปสงค์ชะลอลง)

“ภาพรวมของการส่งออกกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐยังเห็นผลไม่มากโดยการส่งออกสินค้าที่โดนเก็บภาษีส่วนใหญ่ยังเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ยกเว้นการส่งออกสินค้าเกษตรซึ่งต้องติดตามผลในระยะต่อไป”

สำหรับดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนพ.ย.ลดลง -3.7%จากเดือนก่อนเป็นการลดลงเกือบทุกหมวด ทั้งจากปัจจัยชั่วคราวและอุปสงค์ที่ลดลง  โดยปิโตรเลียมปรับลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นคาดว่าจะกลับมาผลิตได้ในเดือนธ.ค.  หมวดยานยนต์ลดลงทั้งรถยนต์นั่งและกะบะตามอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่ชะลอลง  

หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าปรับลดลงตามการผลิตเครื่องปรับอากาศและเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก หมวดอาหารและเครื่องดื่มปรับลดลงเล็กน้อยตามการผลิตกลุ่มอาหารทะเลแช่เย็น แช่แข็งและทูน่ากระป๋องที่โรงงานหยุดผลิตชั่วคราวช่วงน้ำท่วมภาคใต้

สำหรับภาคบริการเครื่องชี้เดือนพ.ย.เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.5%สอดคล้องกิจกรรมในภาคการท่องเที่ยวและการค้า  เมื่อดูธุรกิจหมวดโรงแรม  ภัตตาคารเพิ่มขึ้นตามการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

และนักท่องเที่ยวไทยซึ่งได้รับผลบวกจากมาตรกาภาครัฐ(เที่ยวดีมีคืน และคนละครึ่งพลัส) และธุรกิจขนส่งผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจากการขนส่งที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวตามการขยายตัวของเส้นทางการบินของสายการบินในประเทศไทย

ด้านภาคการค้านั้น ปรับตัวดีขึ้นตามการนำเข้าของสินค้าอุปโภคบริโภค  ส่วนภาคการท่องเที่ยวในแง่ของรายรับของนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน5.3% (จากการใช้จ่ายต่อทริปที่เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล(Long Haul) ซึ่งช่วยชดเชยการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Shot Haul)

สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ2.9ล้านคนลดลงจากเดือนก่อนเล็กน้อย เป็นการลดลงของนักท่องเที่ยวระยะใกล้ทั้งจีน  เกาหลีใต้  มาเลเซีย (Long Haul)  ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวตั้งแต่ต้นปีถึง21ธ.ค.อยู่ที่  31.8ล้านคน

เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนลดลง -0.3%เล็กน้อยจากเดือนก่อน หลักๆมาจากหมวดสินค้าไม่คงทน ลดลงจากยอดจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและปริมาณการใช้ไฟฟ้า  แต่ยอดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น 

ส่วนหนึ่งมาจากมาตรการคนละครึ่งพลัส ส่วนหมวดสินค้าคงทนปรับลดลง โดยเฉพาะยอดจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ และยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ส่วนหนึ่งคาดว่าผู้บริโภครอโปรโมชั่น(ในงานMotor Expo)

หมวดบริการปรับเพิ่มขึ้นจากหมวดโรงแรมและภัตตาคารเป็นสำคัญ  หมวดสินค้ากึ่งคงทนทรงตัว

ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหลังปรับฤดูกาลแล้วจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเป็นหลัก

อย่างไรก็ตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังถูกกดดันจากปัญหาหนี้สินที่ยังอยู่ในระดับสูง  รายได้ และการจ้างงานยังมีความไม่แน่นอนและสถานการณ์น้ำท่วม  ความขัดแย้งชายแดนไทยกัมพูชา

เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนเดือนพ.ยปรับเพิ่มขี้นจากเดือนก่อน 3.3%หลักๆมาจากหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ ขณะที่การนำเข้าสินค้าทุนสุทธิเดือนนี้ปรับลดลง

สำหรับหมวดการลงทุนด้านพาหนะปรับลดลงจากยอดจดทะเบียนรถทุกประเภท(รถบรรทุก รถยนต์นั่ง ) ประกอบกับมูลค่านำเข้าเครื่องบินที่ปรับลดลงในเดือนนี้ด้วย  ส่วนการลงทุนด้านการก่อสร้างลดลงจากทั้งการก่อสร้างส่วนที่อยู่อาศัยและที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย 

ด้านการนำเข้าสินค้าทุนมีทิศทางเพิ่มขึ้นตามการนำเข้าสินค้าทุนของธุรกิจในกลุ่มที่ไม่ใช่การผลิต (ธุรกิจการค้า , ธุรกิจขนส่งที่ยังนำเข้าสินค้าทุนเพิ่ม) สำหรับธุรกิจกลุ่มการผลิตเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากฮาร์ดดิสไดร์ฟ,อุปกรณ์ไฟฟ้า

สำหรับการใช้จ่ายภาครัฐที่ไม่รวมเงินโอนเดือนพ.ย.ภาพรวมขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อน หลักๆมาจากรายจ่ายการลงทุน โดยรายจ่ายการลงทุนของรัฐบาลกลาง ขยายตัวซึ่งมาจากการเบิกจ่ายในโครงการทางหลวงและชลประทาน  ส่วนรายจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจขยายตัวจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทางราง 

ส่วนรายจ่ายประจำของรัฐบาลกลาง “ทรงตัว”ในเดือนนี้ตามการเบิกจ่ายของบำเหน็จบำนาญ   งบบุคลากร  และค่ารักษาพยาบาลข้าราชการที่ขยายตัวได้เล็กน้อยแต่การเบิกจ่ายค่าจัดการเรียนการสอนหดตัวจากปีก่อน

ด้านตลาดแรงงานนั้น “ทรงตัว”ในเดือนพ.ย.สะท้อนจากผู้ประกันตน (ม.33) จำนวนผู้ประกันตนภาคบริการ ปรับขึ้นเล็กน้อย  แต่ยังต้องติดตามการจ้างงานในภาคการผลิตโดยเฉพาะกลุ่มที่เผชิญการแข่งขันสูงและในภาคก่อสร้าง

สัดส่วนผู้ขอรับสิทธิการว่างงานต่อผู้ประกันตน พบว่าทั้งยอดคงค้างรวมและยอดรายใหม่ปรับลดลงจากเดือนก่อนทั้งภาคบริการและภาคการผลิต แต่ยังเห็นการเพิ่มขึ้นของผู้ขอรับสิทธิว่างงานในภาคการผลิต เช่น การผลิตเครื่องหนังและการผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย    

สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ -0.49%ติดลบน้อยลงจากเดือนก่อนที่-0.76%มาจากปัจจัยด้านอุปทาน ได้แก่ เงินเฟ้อในหมวดอาหารสดเป็นสำคัญ (ติดลบน้อยลงตามราคาผักที่ปรับเพิ่มขึ้นจากผลของน้ำท่วม)  หมวดพลังงานติดลบเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินที่ลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก  

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.66%ใกล้เคียงกับเดือนก่อนที่ 0.61% โดยหมวดผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหาร(Non-food)สูงขึ้นเล็กน้อยจากค่าโดยสารเครื่องบินที่เพิ่มขึ้นและของใช้ส่วนตัวที่เพิ่มขึ้นหลังจากผู้ประกอบการลดโปรโมชั่นลง และหมวดอาหารลดลงเล็กน้อยจากฐานที่สูงในปีก่อน

ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนพ.ย.ขาดดุลลดลง โดยขาดดุลที่ 0.6พันล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งลดลงจากเดือนก่อนที่ขาดดุล 1.6พันล้านดอลลาร์สหรัฐ  โดยมาจากทั้งดุลการค้าและดุลบริการ  โดยดุลการค้าขาดดุลลดลงตามดุลทองคำที่ขาดดุลลดลง เป็นสำคัญ  และดุลบริการ   รายได้  เงินโอนเดือนพ.ย.นี้ขาดดุลลดลงจากเดือนก่อนตามรายรับภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

ส่วนค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ(เดือนพ.ย.- 25ธ.ค.68) เงินบาทเฉลี่ยแข็งค่าขึ้นโดยได้รับแรงกดดันจากทิศทางการดำเนินนโยบายของสหรัฐที่มีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงิน  เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง  

ประกอบกับไทยมีปัจจัยเฉพาะกดดันค่าเงินบาท ทั้งเงินทุนไหลเข้าพันธบัตรระยะยาว ในเดือนพ.ย. รายรับภาคท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลท่องเที่ยว และราคาทองคำที่สูงขึ้นต่อเนื่องส่งผลดัชนีค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับคู่ค้าและคู่แข่ง (NEER) แข็งค่าขึ้น

มองไปข้างหน้า อุปสงค์ในภาคท่องเที่ยวปรับดีขึ้น สอดคล้องปริมาณการค้นหา ส่วนดัชนีการส่งออกมีแนวโน้มจะปรับดีขึ้นสะท้อนจาก PMI  ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐ ยุโรป  อาเซียน  ตามความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี  แต่สำหรับจีนเริ่มมีสัญญาณอาจจะชะลอลงซึ่งต้องติดตามต่อเนื่อง  

สำหรับความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจเดือนธ.ค. “ทรงตัว”จากเดือนก่อนหน้า  โดยแบ่งเป็น ความเชื่อมั่นในภาคการผลิตที่ลดลงจากผลกระทบของเงินบาทที่ “แข็งค่า” และสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ขณะที่ภาคที่ไม่ใช่การผลิตความเชื่อมั่นปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ขณะที่ความเชื่อมั่นในระยะข้างหน้านั้น ยังดี และเพิ่มขึ้นในทุกองค์ประกอบ

ตามความเชื่อมั่นในภาคการผลิตที่มองว่า สำหรับกลุ่มชิ้นส่วนและอิเล็กทรอนิกส์จะได้รับผลดีจาก ดาต้าเช็นเตอร์และวัฎจักรอิเล็กทรอนิกส์ ขณะภาคที่ไม่ใช่ภาคการผลิตอาจจะปรับลดลงบ้างจากการเข้าสู่ช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว(คือ 3เดือนหลังจากนี้)และกำลังซื้ออ่อนแอลงหลังหมดมาตรการภาครัฐ

โฆษกธปท.ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ผลสำรวจภาคธุรกิจยังมองว่า  ตัวเองเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน  เช่น การปรับราคาสินค้าได้ยาก ยังเป็นอุปสรรคอันดับแรกที่ธุรกิจมีความกังวล 

ขณะที่อุปสรรคที่มีผู้ตอบเพิ่มขึ้นต่อเนื่องคือ  เรื่องความต้องกาสินค้าในประเทศที่มีไม่มาก ซึ่งมาจากหลายปัจจัยทั้งกำลังซื้อที่อ่อนแอ  ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาและสถานการณ์น้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมา เหล่านี้ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น

"ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนพ.ย.ขยายตัวจากเดือนก่อน หลักๆมาจากอุปสงค์ต่างประเทศ (การส่งออก  และรายรับจากนักท่องเที่ยว) ส่วนอุปสงค์ในประเทศเพิ่มขึ้นในส่วนของการลงทุนภาคเอกชนและภาครัฐ แต่การบริโภคภาคเอกชนปรับลดลงเล็กน้อย 

ขณะที่การผลิตในภาคอุตสาหกรรมปรับลดลงหลายหมวด สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบน้อยลงจากเดือนก่อน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นบวกใกล้เคียงกับเดือนก่อน ส่วนตลาดแรงงานทรงตัว  ดุลบัญชีเดือนสะพัดขาดดุลลดลง

ในระยะต่อไปเศรษฐกิจไทยยังมีแรงส่งจากภาคบริการที่จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการท่องเที่ยวจะทยอยฟื้นตัว และการบริโภคภาคเอกชนที่ยังมีปัจจัยบวกจากมาตรการภาครัฐ"นางสาวชญาวดีกล่าวพร้อมระบุว่า

สำหรับประเด็นที่ต้องติดตามในระยะข้างหน้า ได้แก่  การฟื้นตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม    ผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่า  การฟื้นตัวของธุรกิจหลังน้ำท่วม  ผลกระทบจากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา และผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ เป็นต้น