ส่องหุ้นไทยปี 69 Upside ไม่มาก กูรูชี้ยังมีเสน่ห์ Valuation ถูก–ปันผลสูง

31 ธ.ค. 2568 | 00:30 น.

หลังดัชนีหุ้นไทยปรับลงต่อเนื่องหลายปี ราคาหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวกลับไปอยู่ใน Valuation ใกล้ระดับดัชนี 1,000 จุด บล.พายมองว่านี่อาจเป็นจุดที่นักลงทุนเริ่มกลับมา 'รับปันผล' มากกว่า 'เก็งกำไร' พร้อมแนะจับตา Data Center ความหวังใหม่

KEY

POINTS

  • ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยในปี 2569 จะมีโอกาสปรับตัวขึ้น (Upside) ได้ไม่มากนัก จากความท้าทายในการลงทุนทั่วโลกและปัญหาเศรษฐกิจในประเทศที่เติบโตต่ำ
  • เสน่ห์สำคัญของหุ้นไทยคือมูลค่า (Valuation) ที่ถูกลงมาก หลังจากราคาปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ทำให้หุ้นพื้นฐานดีหลายตัวมีราคาน่าสนใจ
  • หุ้นไทยยังคงดึงดูดนักลงทุนด้วยอัตราเงินปันผลที่อยู่ในระดับสูงถึง 4-7% โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET50

นายกวี ชูกิจเกษม ประธานเจ้าหน้าที่สายการบริหารพอร์ตการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดมุมมองต่อทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 2569 ว่า สิ่งที่นักลงทุนจะต้องติดตามในปี 2569 คือ การก้าวสู่ S-Curve ใหม่ ในเรื่องของการเป็น Supply Chain ของ Data Center

เนื่องจากไทยมีศักยภาพทั้งระบบอำนวยความสะดวกพื้นฐาน ระบบน้ำ ไฟฟ้า พลังงานทดแทน การสื่อสารและการขนส่ง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่จะดึงดูดเม็ดเงินและการลงทุนเข้ามาในอีก 2 - 3 ปีข้างหน้า โดยเชื่อว่าในปี 2569 ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยที่จะเกิดความท้าทายเพียงเท่านั้น

แต่โลกของการลงทุนทั้งหมดจะเจอความท้าทายที่น่าจะมากกว่าในปี 2568 หรือ 2 - 3 ปีที่ผ่านมาก่อนหน้านั้น เพราะฉะนั้นการที่จะอยู่รอดในตลาดแบบนี้ การจัดพอร์ตลงทุนเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับนักลงทุน เพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์

"ไม่ว่าเศรษฐกิจเติบโตหรือหดตัว โลกจะมีความขัดแย้งหรือมีสงครามอะไรเกิดขึ้น การหาความรู้เพิ่มเติม การบริการพอร์ต การกระจายความเสี่ยงเป็นการรักษาสมดุลของการลงทุนที่จะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจในช่วงที่ตลาดผันผวนได้"

หนึ่งในกุญแจสำคัญของการอยู่รอดในตลาดที่ผันผวนคือ การจัดพอร์ตลงทุนอย่างชาญฉลาด การกระจายความเสี่ยงของการลงทุนไปยังผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และสิ่งสำคัญที่สุด คือต้องเปิดรับและศึกษาข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงปี 2568 ที่ผ่านมา ยังคงผันผวนและปรับตัวลดลงต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกัน ซึ่งถือว่าเป็นการให้ผลตอบแทนติดลบติดต่อกันนานที่สุด หากไม่นับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง สาเหตุอาจจะมาจากการที่ประเทศไทยไม่ได้มีหุ้นเทคโนโลยีหรือหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรม Semiconductor หรือ Data Center

อีกทั้งไม่ได้อยู่ใน Supply Chain ของกระแส AI ซึ่งเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติ ด้านเศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะโตต่ำและอาจจะเป็นการโตต่ำถาวร จากปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ภาวะหนี้สินครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และการเข้าสู่ภาวะ aging society

โดยเศรษฐกิจไทยปี 2568 โตเพียง 2% และคาดว่าจะลดเหลือ 1.7% ในปีหน้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยไม่มี S-curve ใหม่ๆ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ประกอบกับปัจจัยด้านการเมืองของไทยที่ขาดเสถียรภาพ ทำให้นักลงทุนต่างประเทศไม่กลับเข้ามาลงทุน  แต่ทั้งนี้ความหวังของตลาดหุ้นไทยยังมีอยู่

เสน่ห์หุ้นไทย... ราคาถูก-ปันผลสูง

แม้ว่าความหวังของตลาดหุ้นไทยยังมีอยู่ แต่เราอาจจะไม่ได้เห็นหุ้นที่เป็น Growth Stock แล้วในช่วง 2-3 ปีนี้ อย่างไรก็ตาม การที่หุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องทำให้ Valuation ของหุ้นบางอุตสาหกรรมถูกลงมากเช่นกัน

ตัวอย่างเช่น หุ้นในกลุ่มบริการ ได้แก่ ค้าปลีก ท่องเที่ยว สื่อสาร ที่เคยพาหุ้นไทยไปแตะ 1,850 จุดในปี 2561 ปัจจุบันหลายบริษัทในกลุ่มเหล่านี้ทำกำไร New High แต่ราคาหุ้นไม่ปรับตัวขึ้น เพราะตลาดถูกกดดันจากปัจจัยภายนอก

"หากจะตอบคำถามที่ว่าเสน่ห์ของหุ้นไทยในตอนนี้คืออะไร เราอาจจะมองไปถึงเรื่องราคาที่เหมาะสมและเงินปันผลที่มีการจ่ายในระดับที่สูงมากที่ 4-7% โดยเฉพาะหุ้นใน SET50 ดังนั้นในปี 2569 ตลาดหุ้นไทยจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้หรือไม่ เรามองว่ายังมีข้อจำกัดหรือมี Upside ที่ไม่เยอะ ในทางกลับกัน Downside ก็ไม่ได้เยอะเช่นกัน"

สำหรับดัชนีหุ้นไทยที่ปัจจุบันเกิน 1,000 จุด หากตัด DELTA ที่เป็นผู้นำตลาดออกไป หุ้นได้กลับไปซื้อขายกันที่ 1,000 จุดแล้ว ทำให้ราคาหุ้นขนาดใหญ่ พื้นฐานแข็งแกร่งหลายตัว กลับไปซื้อขายใน valuation ที่เคยทำเอาไว้ตอนที่ดัชนี 1,000 จุด สะท้อนให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยได้รับรู้ข่าวร้ายไปหมดแล้ว และ Valuation จะเป็นจุดที่ดึงให้นักลงทุนกลับเข้ามาเพื่อรับปันผล