แบงก์ไทยปี69 เจอศึกหนักรอบด้าน สินเชื่อไม่ฟื้น กำไรลงทุนหาย

17 ธ.ค. 2568 | 06:24 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ธ.ค. 2568 | 06:24 น.

TISCO ESU ประเมินธุรกิจแบงก์ปีหน้าเหนื่อย รายได้อ่อนแอ กดความสามารถทำกำไร ชี้ทางออก ลดค่าใช้จ่ายกันสำรองแทนลดคน ระบุแม้เอ็นพีแอลพุ่ง แต่ภาระกันสำรองเพิ่มไม่มาก เหตุทุกแบงก์สำรอง ECLไปก่อนหน้าแล้ว 

ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ระบุว่า สถานการณ์ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในระบบโดยรวมสะท้อนความสามารถในการทำกำไรลดลง สินเชื่อติดลบ 5ไตรมาส ส่วนคุณภาพหนี้ ทั้งหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs/Stage3) และหนี้ที่ต้องจับตาพิเศษ (SM/Stage2) มีสัญญาณการไหลเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจ SMEs และยังมีความเสี่ยงด้านเครดิตที่อยู่ในระดับสูงและภาวะการเงินที่ตึงตัวนั้น 

นายธนวัฒน์ รื่นบันเทิง หัวหน้าฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์(บล.) ทิสโก้เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า มองไปข้างหน้าในไตรมาส4ปีนี้และปีหน้า ธุรกิจธนาคารภาพรวมค่อนข้างลบ เพราะแนวโน้มการทำกำไรจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลจะเหลือน้อยมากในไตรมาส4 

ทั้งนี้ ไตรมาส 3ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ในระบบมีกำไรจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลประมาณหลักหมื่นล้านบาท แต่หลังจากนี้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตร(บอนด์ยีลด์)ปรับเพิ่มขึ้นไปแล้ว ฉะนั้นในภาวะที่รายได้ของธุรกิจธนาคารอ่อนแอ แนวโน้มการทำกำไรของธนาคารในไตรมาส4 น่าจะหายไปเกือบทั้งหมดรวมถึงปีหน้าทั้งปีด้วย  

นายธนวัฒน์ รื่นบันเทิง หัวหน้าฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์(บล.) ทิสโก้

“ส่วนตัวยังมองท่าทีธปท.น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 1ครั้งในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะอยู่ 1.0% หลังจากนั้นในปีหน้าอัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะยืนที่เดิม 1.0% ฉะนั้น NIM อาจจะเริ่มนิ่งหรืออาจจะปรับเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย แต่ต้องดูว่า แบงก์ปล่อยสินเชื่อหรือไม่ซึ่งดูแล้วปีหน้าสินเชื่ออาจจะไม่ได้ฟื้นมากนัก” 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันธปท.และธนาคารเองพุ่งเป้าร่วมกันหาทางออกหรือแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ดังนั้นอย่างสินเชื่อรายย่อย ทั้งธปท.และธนาคารเองไม่อยากให้ปล่อยหรือสินเชื่อ SMEs ที่มีความเสี่ยงจะกลายเป็นเอ็นพีแอล ซึ่งปัจจุบันเอ็นพีแอลยังทรงตัวในระดับสูงอยู่  

ในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยนั้น แนวโน้มน่าจะมีโอกาสฟื้นตัวเบาๆ แต่ไม่มากพอที่จะทดแทนรายได้จากการลงทุนที่น่าจะหายไป เมื่อรวมสุทธิแล้ว ธนาคารเองอยากจะระมัดระวังคิดว่า รายได้คงจะฟื้นไม่แรง ขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายคงจะลดลงไม่เยอะ ฉะนั้นกำไรอาจจะถูกกดดดันจากเรื่องรายได้จากการลงทุนที่หายไป 

“ในแง่ค่าใช้จ่ายที่ผ่านมา ธนาคารบริหารจัดการได้ค่อนข้างดี โดยค่าใช้จ่ายไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่หากจะปรับลดค่าใช้จ่ายด้านพนักงาน (ลดคน) สำหรับธนาคารของไทยอาจทำได้ยาก เต็มที่ถ้ามีคนเกษียณหรือมีคนลาออก ทางธนาคารทำได้แค่ไม่จ้างคนใหม่เพิ่ม”นายธนวัฒน์กล่าว

อย่างไรก็ตาม แนวทางปรับลดค่าใช้จ่ายอีกอันที่พอจะลดได้คือ ค่าใช้จ่ายกันสำรองจากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) โดยเฉพาะธนาคารใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ หรือ ธนาคารกรุงไทย ซึ่งมีงบดุลที่แข็งแกร่ง เนื่องจากได้กันสำรองฯ ไว้จำนวนมากแล้ว

แบงก์ไทยปี69 เจอศึกหนักรอบด้าน สินเชื่อไม่ฟื้น กำไรลงทุนหาย

ดังนั้น ปีหน้ามีโอกาสจะลดกันสำรองดังกล่าวลงได้บ้าง แต่สำหรับธนาคารที่ที่มีปัญหาเรื่องหนี้เสียปีหน้าคงจะนิ่งๆ ไม่แย่ไปกว่าปีนี้หรืออาจจะลดลงได้เล็กน้อย ซึ่งต้องขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจว่า จะฟื้นตัวได้มากน้อยขนาดไหนในปีหน้าด้วย 

“ส่วนตัวไม่ค่อยห่วง เพราะเอ็นพีแอลแย่มาหลายปีแล้ว หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งจะเห็นภาพที่ธปท.ทยอยออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ทุกปี” 

ขณะเดียวกันทั้ง Stage3 และ Stage2 ส่วนใหญ่ที่เห็นในช่วง 2-3ไตรมาสที่ผ่านมา เคยเป็นหนี้เสียมาก่อนแล้วได้รับการปรับโครงสร้างหนี้จนกลับมาเป็นหนี้ปกติ แต่กลับมาเป็นหนี้เสียใหม่คือ วนเวียนไปมาอย่างนั้น ทำให้ภาระในการตั้งสำรองฯไม่มาก เนื่องจากทุกธนาคารได้มีการกันสำรองไประดับหนึ่งแล้ว ดังนั้น อาจจะเห็นเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นบ้าง แต่สำรองของธนาคารคงจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก 

ทั้งนี้ นอกจากหลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบแล้ว ธปท.ก็มีมาตรการ “คุณสู้เราช่วย” ซึ่งต่อเนื่องหลังจากสิ้นสุด มาตรการ “ฟ้า-ส้ม” และกลางปีหน้ามีการซื้อหนี้อีกเพื่อช่วยกลุ่มหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ภายใต้มาตรการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” สะท้อนว่าปัญหาเอ็นพีแอลยังคงอยู่แต่คงจะไม่แย่นักเพราะเศรษฐกิจแย่ประมาณนี้มาสักพักแล้ว  

ส่วนมุมมองต่อมาตรการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” ซึ่งเปิดให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ซื้อหนี้เสียออกจากธนาคารนั้น บล.ทิสโก้มองว่า ผลกระทบธนาคารน่าจะไม่มาก เพราะหนี้ก้อนหนี้ธนาคารสามารถขายในตลาดได้ราคา แต่หากนำหนี้ขายผ่าน AMC คิดว่า ราคาอาจจะไม่ได้ดีไปกว่าราคาที่เคยขายในตลาดนัก หรืออาจจะได้ราคาแย่กว่า  

เพราะฉะนั้น ธนาคารคงไม่ได้สิทธิประโยชน์มากนัก แต่อีกขาหนึ่งหรือฝั่ง AMC อาจจะได้ประโยชน์ตรงที่ว่า ได้มีหนี้ใหม่มาบริหาร, แต่เป้าหมายเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ในแง่ของการเร่งรัดเรียกเก็บหนี้กับลูกหนี้ ดังนั้น Recovery Rate คงจะได้น้อยเพราะขึ้นอยู่กับต้นทุนค่าใช้จ่าย  

“แต่คนลูกหนี้จะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์ หากสามรถปฎิบัติตามเงื่อนไข พอออกจากมาตรการ หรือปรับโครงสร้างหนี้ได้แล้ว ในที่สุดถ้าลูกหนี้หลุดจากเครดิตบูโรก็จะสามารถกลับไปกู้ยืมธนาคารหรือสถาบันการเงินในระบบทำธุรกิจได้ใหม่อีกครั้ง”นายธนวัฒน์กล่าวทิ้งท้าย

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,157 วันที่ 14 - 17 ธันวาคม พ.ศ. 2568