ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถานการณ์มหัตภัยในพื้นที่ภาคใต้โดยเฉพาะ จังหวัดสขลา อำเภอหาดใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งเศรษฐกิจของภาคใต้ได้รับผลกระทบอย่างมาก
สำหรับรายงานความเสียหายรวมอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นมิติของประกันภัยรถยนต์ ประมาณ2.3หมื่นคันและประกันที่ไม่ใช่รถยนต์หรือ Non-Motor โดยความเสียหายในมิติของรถยนต์จำนวน2.3 หมื่นคัน ประเมินความเสียหายเฉลี่ย 3 แสนบาทต่อคัน
หรือบางบริษัทรับประกันภัยรถยนต์รุ่นใหม่ไว้มากความเสียหายเฉลี่ยที่ 5 แสนบาทต่อคัน ดังนั้นความเสียหายเฉลี่ยที่3-3.5แสนบาทต่อคันเท่ากับประมาณ6,000-7,000ล้านบาท หรือราว 10,000ล้านบาทถ้าเฉลี่ยต่อคันที่ 5แสนบาท
ส่วนมิติของNon-Motor มีการกำหนดวงเงินหรือมูลค่าของทุนประกันความคุ้มครองย่อยที่จำกัดสูงสุด (Sub-Limit) ประมาณ 9,300 ล้านบาท
" ประชาชน หรือพี่น้องคนไทยไม่ต้องห่วงว่าบริษัทประกันภัยจะไม่สามารถชดใช้ค่าสินไหม หรือความเสียหายบริทุกบริษัทประกันภัยขณะนี้เราได้ Monitor อย่างใกล้ชิด โดยทุกบริษัทยังมีความมั่นคง และยังมีศักยภาพและมีความสามารถในการชดใช้ค่าสินไหมได้"ดร.สมพรกล่าว
ทั้งนี้ บทเรียนของอุตสาหกรรมประกันภัยในปี 2554 ส่วนใหญ่บริษัทประกันวินาศภัยล้วนแต่มีการบริหารความเสี่ยงโดยการซื้อประกันภัยต่อเพื่อป้องกันความเสี่ยงของตัวเองไว้อยู่แล้ว ขณะเดียวกันกรมธรรม์ประกันภัยจะมีSub- Limit สำหรับมหัตภัยน้ำท่วมไว้
อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นบ้านที่อยู่อาศัยทั่วไป Sub-Limitที่กำหนดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)จะอยู่ที่20,000บาท แต่หลายบริษัทประกันภัย เปิดโอกาสให้ประชาชนซื้อเพิ่มได้
ซึ่งส่วนใหญ่ จะซื้อไม่เกิน 100,000 บาททำให้ปีนี้ไม่ได้มีความสูญเสียจากมหัตภัยมากถ้าเทียบกับปี 2554 ซึ่งปี2554นั้นประเทศไทยยังไม่มีประสบการณ์มหาอุทกภัยจึงไม่ได้มีการกำหนด Sub-Limit ไว้
การทำประกันภัยต่อโดยทั่วไปทุกบริษัทประกันภัยจะซื้อประกันภัย ประกันการสูญเสียทรัพย์สิน(Asset Of Loss) แทบทุกบริษัทฉะนั้นมั่นใจได้ว่าฐานะการเงินของบริษัทประกันภัยยังคงมีความแข็งแรงในระดับหนึ่ง
ดร.สมพรกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทประกันวินาศภัยมีประสบการณ์ของน้ำท่วมในปี2554 เพราะฉะนั้นก็จะซื้อประกันการสูญเสียทรัพย์สินหรือAsset of Loss เฉพาะในส่วนของภัยพิบัติเพื่อProtectความเสี่ยงของตัวเองในกรณีมีมหัตภัยลักษณะอย่างนี้
สำหรับเงื่อนไขของการเคลมนั้น มีการตกลงกันว่า จะต้องจ่ายเท่าไร เช่น ถ้าน้ำเข้าถึงระดับถึง “พรม” หรือถ้าน้ำเข้า “คอนโซล”และถ้าท่วมมิดหลังคา ซึ่งส่วนใหญ่ที่เห็นจากภาพข่าวน้ำจะท่วมมิดหลังคาแทบทุกคัน ส่วนใหญ่จะจ่ายค่าสินไหมในลักษณะ Tatal Loss
คือ บริษัทจ่ายค่าสินไหม Total Loss (เสียหายโดยสิ้นเชิง)ให้กับผู้เอาประกันภัย แต่ในบริษัทประกันภัยไม่ได้หมายความว่าจะเป็น Total Loss เพราะรถคันนั้นๆยังมีมูลค่าซากอยู่ เชื่อว่าหลายบริษัทประกันภัยจะมีการขายเหมาซากรถให้กับผู้รับซื้อซากรายใหญ่ ซึ่งจะทำให้บริษัทประกันภัยนั้นสามารถที่จะมีค่าสินไหมที่ลดลงได้และถ้าบริษัทไหนที่มีประกันภัยต่อด้วยก็จะลดได้อีกส่วน
" กรณีน้ำท่วมเคยกำหนดกติกาว่า ถ้าน้ำท่วมทั้งคันจะจ่ายสินไหมในลักษณะ Total Loss โดยยังไม่ได้แยกระหว่างรถสันดาปกับรถไฟฟ้า ซึ่งรถไฟฟ้านั้นอาจจะเป็นปัญหาที่ต้องพูดคุยกัน
คือ เคยมีข้อตกลงกันแล้วว่า ราคารถไฟฟ้าที่เป็นรถใหม่ที่ราคาลดลงนั้น ให้บริษัทประกันภัยจ่ายตามมูลค่าของรถปัจจุบันและให้คืนเบี้ยประกันภัยส่วนเกินให้กับลูกค้าด้วย"
ยกตัวอย่าง กรณีซื้อรถใหม่ในราคา 1.2ล้านบาท ทุนประกันภัยประมาณ 80%ตกประมาณ 9.6แสนบาท ตอนนี้ราคาลดลงเหลือ 700,000บาทและเกิดน้ำท่วม
สำหรับการจ่ายสินไหมทดแทนนั้นแบ่งเป็น 3วิธีคือ 1.ซ่อมรถให้มีสภาพกลับมาเหมือนเดิม 2.สร้างทดแทนหรือซื้อใหม่ชดใช้ 3.จ่ายเป็นเงิน แต่ในแง่ของรถไฟฟ้าราคาที่ลดลง ถ้าบริษัทประกันภัยซื้อรถยี่ห้อเดิม รุ่นเดิม เพื่อทดแทนรถคันเดิมที่เสียหาย total Lossก็ทำได้(ซื้อใหม่ชดใช้)
"หลักการตามสัญญาของการประกันภัยคือ การทำให้ผู้เอาประกันภัยกลับไปสู่สภาพเดิมก่อนเกิดเหตุ เพราะฉะนั้นบริษัทรับประกันภัยจะทำให้ผู้เอาประกันภัยกลับไปสู่สภาพเดิมซึ่งสามารถทำได้ 3แนวทาง คือ จ่ายเป็นเงิน,ซ่อมให้แทนและซื้อใหม่ให้(ถ้าเสียหายมากกว่า 80%)