จับตา "เฟด-จ้างงานสหรัฐฯ" 2 ตัวแปรหลัก ชี้ชะตาราคาทองส่งท้ายปี

10 ธ.ค. 2568 | 06:22 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ธ.ค. 2568 | 06:22 น.

ตลาดทองคำจับตาเดือนธันวาคมใกล้ชิด ผลประชุมเฟด 10 ธ.ค. ตัวเลขจ้างงานสหรัฐ 16 ธ.ค. ตัวแปรสำคัญชี้อนาคตราคาทองคำ ขณะที่กูรูชี้แม้ระยะสั้นผันผวน แต่ปีหน้าแนวโน้มยังเป็นบวก ลุ้นแตะ 4,300 ดอลลาร์

โค้งสุดท้ายของเดือนธันวาคม กลายเป็นช่วงเวลาที่ตลาดทองคำทั่วโลกจับตาเป็นพิเศษ เพราะกำลังจะมี 2 ปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางราคาทองคำแบบระยะสั้นถึงต้นปีหน้า ได้แก่

  • ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 10 ธ.ค.
  • ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐ (Nonfarm Payrolls) ที่ประกาศวันที่ 16 ธ.ค. ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อกระแสเงินทุนและมุมมองต่ออัตราดอกเบี้ย

ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบายการเงิน–การค้า และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ราคาทองคำในรอบปีที่ผ่านมาได้ขยับขึ้นแรงกว่า 60% ขณะที่ธนาคารกลางในหลายประเทศยังคงทยอยสะสมทองคำเพื่อเสริมเสถียรภาพทุนสำรอง ส่งผลให้ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจ 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แนวโน้มปี 2569 แม้ราคาทองคำไม่ได้มีอัพไซต์มากเหมือนปี 2568 แต่ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยกระจายการลงทุนได้ดี โดยมี 3 ปัจจัยที่จะขับเคลื่อนราคาทองคำและกระทบต่อความต้องการถือครองทองคำปีหน้า คือ

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย

โดยมี 3 ปัจจัยที่จะขับเคลื่อนราคาทองคำและกระทบต่อความต้องการถือครองทองคำปีหน้า คือ

  • แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง
  • ความไม่แน่นอนจากปัจจัยต่างๆ  
  • บรรยากาศในตลาดการเงิน 

สำหรับไตรมาสแรกปี 2569 ราคาทองคำ อาจจะได้รับอานิสงส์จากการเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มของบรรดาธนาคารกลางหลัก ขณะเดียวกันบรรยากาศในตลาดการเงินที่จะทยอยเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติมอาจเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำ

โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 2 ที่ราคาทองคำมีความเสี่ยงย่อตัวลงทดสอบโซน 3,900-4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ราคาทองคำจะยังพอได้แรงหนุนจากแรงซื้อในจังหวะย่อตัวจากบรรดาธนาคารกลาง 

จับตา "เฟด-จ้างงานสหรัฐฯ" 2 ตัวแปรหลัก ชี้ชะตาราคาทองส่งท้ายปี

ส่วนไตรมาส 4 ประเด็นความเสี่ยงภูมิลักษณะจากความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีนอาจทวีความร้อนแรงขึ้น อาจช่วยหนุนราคาทองคำ ให้สามารถปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในสิ้นปี 2569  

อย่างไรก็ตาม (Markets Outlook - 2-Dec-25 ) แนะนำนักลงทุนควรพิจารณาถือทองคำในสัดส่วน 5-10% ในพอร์ตลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยง รับมือความไม่แน่นอนต่างๆ

โดยควรรอจังหวะทยอยเข้าซื้อทองคำมากกว่าไล่ราคาซื้อ เนื่องจากราคาทองคำเสี่ยงที่จะเผชิญแรงขายทำกำไรเป็นระยะได้ โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดหุ้นสหรัฐทยอยรีบาวสูงขึ้นและอาจปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง  

ดังนั้น จึงไม่ได้มีมุมมองเชิงบวกต่อราคาทองคำมากนักในช่วงนับจากนี้จนถึงช่วงกลางปี 2569 โดยประเมินว่า ราคาทองคำอาจแกว่งตัวในกรอบ Side Way ที่กว้างจากโซน 3,900-4,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้  

ด้านนายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำเปิดกล่าวกับ“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า แนวโน้มราคาทองคำหลังจากนี้ยังรอผลประชุมของเฟดในวันที่ 10 ธ.ค. ขณะเดียวกันช่วงนี้ตลาดโลกเข้าสู่ช่วงคริสมาสต์ ซึ่งส่วนใหญ่ทยอยหยุดปีใหม่กันแล้ว จึงต้องรอดูและติดตามข่าวเป็นระยะ  

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ

“ประเด็นสำคัญตอนนี้คือ เฟดจะพิจารณาดอกเบี้ยนโยบายอย่างไร หากเฟดปรับลดดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดการณ์ โอกาสเห็นราคาทองคำ “ขาขึ้น”ได้อีกบ้าง แต่หากผลประชุมเฟดออกมาตรงกันข้าม หรือคงอัตราดอกเบี้ยนั้น อาจจะเห็นราคาทองร่วงลงเล็กน้อย และมองต้นปีหน้า ทองคำน่าจะทำ New High ใหม่” 

ส่วนกรณีที่ทางการพยายามหาแนวทางลดการแข็งค่าของเงินบาท นายจิตติกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้ากรณีที่กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)อยู่ระหว่างหารือแก้ไขประกาศ เพื่อให้ร้านทองรายงานธุรกรรม เพื่อลดการแข็งค่าของเงินบาท โดยส่วนตัวยังรอนโยบายของผู้ว่าการธปท.ว่า จะประกาศแนวปฎิบัติออกมาอย่างไร 

สอดคล้องกับนพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก จำกัด(MTS Gold)กล่าวกับ“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ภาพรวมตอนนี้ทุกคนรอข่าวสำคัญอีก 2วันคือ การประชุมของเฟดในวันที่ 10 ธ.ค. ถ้าเฟดลดดอกเบี้ยก็จะทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น ซึ่งราคาเป้าหมายประมาณ 66,000-67,000 บาทต่อบาททองคำ

นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก จำกัด(MTS Gold)

แต่ถ้าหากเฟดไม่ปรับลดดอกเบี้ย อาจทำให้ราคาทองลดลงจากปัจจุบันประมาณ 1,000 บาทโดยจะอยู่แถว 61,000-62,000บาท แต่ไม่น่าจะย่อตัวจนหลุด 60,000 บาท  

“จากนี้จนถึงสิ้นปี การดำเนินนโยบายของเฟดจะเป็นปัจจัยนำ ทุกคนยังติดตามถ้อยแถลงของประธานเฟด หาก Comment ออกมาในลักษณะปานกลางคงจะไม่มีอะไร แต่เนื่องจากการประชุมเฟดรอบก่อน ประธานเฟดมี Comment ค่อนข้างแรงจึงทำตลาดตก” 

ส่วนอีกปัจจัยที่เฝ้าติดตามคือ รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐ (Non farms Payrolls) ที่จะออกมาในวันที่ 16ธ.ค. หากตัวเลขออกมาสูง จะทำให้ราคาทองคำปรับขึ้น

ทั้งนี้ MTS ประเมินช่วงที่เหลือจนถึงสิ้นปี น่าจะเห็นราคาทองคำอยู่ที่ประมาณ 66,000-67,000บาท และ Spot Gold อยู่ที่ประมาณ 4,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

อย่างไรก็ตาม มองไประยะข้างหน้าราคาทองคำจะเป็นสัญญาณ “ขาขึ้น”ที่ไม่แรงนักคือ เป็น Bullish Trend เพราะตลาดรับรู้ข่าวแรงไปมากแล้ว ดังนั้นจากนี้ไปจนถึงปีหน้า จึงมีโอกาสที่จะเห็นราคาทองคำปรับขึ้นประมาณ 20% หลังจากที่ผ่านมา ปรับเพิ่มขึ้นมาแล้ว 61% 

ส่วนความคืบหน้าการหารือกับกระทรวงการคลังและธปท.รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ส่งออกทั้งหมดนั้น กำหนดจะร่วมหารืออีกครั้งในวันที่ 22 ธ.ค.2568


หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,156 วันที่ 11 - 13 ธันวาคม  พ.ศ. 2568