ก.ล.ต. ลงนาม MOU หน่วยงานภาครัฐ-เอกชน ผนึกกำลังปราบอาชญากรรมไซเบอร์

06 พ.ย. 2568 | 07:51 น.
อัปเดตล่าสุด :06 พ.ย. 2568 | 07:51 น.

ก.ล.ต. ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ร่วมมือปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ ยับยั้งการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางการฟอกเงิน และให้คำปรึกษาภัยหลอกลงทุน

KEY

POINTS

  • ก.ล.ต. ลงนาม MOU กับ 14 หน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมมือป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการหลอกลงทุนและการฟอกเงินผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล
  • ความร่วมมือนี้มุ่งยกระดับมาตรการสกัดกั้นบัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัล ปิดกั้นแพลตฟอร์มซื้อขายที่ไม่ได้รับอนุญาต และเพิ่มความรับผิดชอบร่วมกันของผู้ประกอบธุรกิจ
  • ก.ล.ต. ได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกหลายด้าน เช่น การระงับบัญชีม้าได้แล้วกว่า 32,000 บัญชี การเปิดสายด่วน 1207 กด 22 ให้คำปรึกษา และการใช้เทคโนโลยีตรวจจับมิจฉาชีพบนโซเชียลมีเดีย

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ระหว่าง 15 หน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยมีเป้าหมายเพื่อประกาศเจตนารมย์ในการต่อต้านอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (Scammer) ยับยั้งการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางการฟอกเงิน และให้คำปรึกษาภัยหลอกลงทุน 

ในพิธีลงนาม MOU ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานและสักขีพยาน มีหน่วยงานภาครัฐและเอกชนร่วมลงนามจำนวน 15 แห่ง ได้แก่

  1. สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
  2. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
  3. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  4. กระทรวงยุติธรรม
  5. กระทรวงมหาดไทย
  6. กระทรวงการคลัง
  7. กระทรวงการต่างประเทศ
  8. กระทรวงพาณิชย์
  9. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)
  10. กรมสอบสวนคดีพิเศษ
  11. สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
  12. ธนาคารแห่งประเทศไทย
  13. สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
  14. สมาคมธนาคารไทย
  15. สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ 

ก.ล.ต. ลงนาม MOU หน่วยงานภาครัฐ-เอกชน ผนึกกำลังปราบอาชญากรรมไซเบอร์

นางสาวจอมขวัญ คงสกุล รองเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ก.ล.ต. ได้ดำเนินมาตรการป้องกันและยับยั้งการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางการฟอกเงินอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมกับหน่วยงานภาคเอกชน ในการกำหนดมาตรฐานป้องกันและจัดการบัญชีม้า

รวมถึงมีส่วนร่วมผลักดันการออกพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 และผลักดันการออกพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ที่ช่วยยกระดับมาตรการสกัดกั้นบัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ช่วยเพิ่มความชัดเจนของกลไกการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต้องมีความรับผิดร่วม (shared responsibility) ต่อความเสียหายของผู้ใช้บริการหากไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานหรือมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 

จอมขวัญ คงสกุล รองเลขาธิการ ก.ล.ต.

รวมทั้งยกระดับมาตรการป้องกันการใช้แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศเป็นช่องทางฟอกเงิน โดยร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เพื่อดำเนินการปิดกั้นเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเทศที่มีพฤติกรรมการชักชวนหรือโฆษณาการให้บริการ (solicit) กับผู้ลงทุนในประเทศไทย ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

ตลอดจนขยายความร่วมมือในการจัดการปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีระหว่างภาคธนาคาร ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

จากการดำเนินมาตรการดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถระงับบัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัลได้กว่า 32,671 บัญชี รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกอายัดประมาณ 228 ล้านบาท (ยอดสะสม ณ วันที่ 30 กันยายน 2568)

และ ก.ล.ต. ได้นำส่งข้อมูลแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้รับอนุญาตให้แก่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อดำเนินการปิดกั้นช่องทางการเข้าถึงแพลตฟอร์มดังกล่าวแล้ว จำนวน 5 แพลตฟอร์ม

พร้อมทั้ง ก.ล.ต. ได้เดินหน้านโยบายการป้องกันเชิงรุก หรือ Preventive Anti-Scam for All มุ่งลดความสูญเสียของประชาชนจากภัยหลอกลงทุน ด้วยการดำเนินงานผ่าน “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน 1207 กด 22” ซึ่งให้คำปรึกษาและรับแจ้งเบาะแสอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2566 โดยในเดือนตุลาคม 2568 ได้รับแจ้งและให้คำปรึกษามากกว่า 1,500 ครั้ง สะท้อนว่าประชาชนตระหนักและต้องการความช่วยเหลือมากขึ้น

ก.ล.ต. ยังใช้เทคโนโลยีตรวจจับและปิดกั้นการชักชวนหลอกลงทุนบนสื่อโซเชียล เช่น Facebook Instagram TikTok และ LINE โดยทำงานร่วมกับผู้ให้บริการสื่อโซเชียลและสามารถปิดกั้นได้ภายในระยะเวลา 7 นาที ถึง 48 ชั่วโมง และปิดกั้นได้ครบ 100%

ขณะที่ได้พัฒนาเครื่องมือออนไลน์เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ด้วยตนเองเช่นกัน ได้แก่ SEC Check First ตรวจสอบผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้แนะนำที่ได้รับอนุญาต SEC Investor Alert ตรวจสอบรายชื่อบุคคลหรือองค์กรที่ไม่ได้รับอนุญาต เว็บไซต์ Scam Center ศูนย์รวมข้อมูลการหลอกลงทุนในรูปแบบต่างๆ

นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้ร่วมมือกับหน่วยงานในและต่างประเทศ เช่น เผยแพร่ข้อมูลการหลอกลงทุนผ่าน I-SCAN ขององค์กรกำกับดูแลตลาดทุนระหว่างประเทศ (IOSCO) และเชื่อมต่อผู้เสียหายที่โทรเข้ามาปรึกษาไปยังศูนย์ AOC 1441 เพื่อแจ้งความและอายัดบัญชีได้ทันท่วงที 

“การลงนาม MOU ครั้งนี้ จึงตอกย้ำบทบาทของ ก.ล.ต. ในการเป็นศูนย์กลางให้บริการเรื่องภัยหลอกลงทุนแบบครบวงจร มุ่งยกระดับมาตรการป้องกันและยับยั้งการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางการฟอกเงิน เพื่อให้ตลาดทุนไทยปลอดภัยจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน” รองเลขาธิการกล่าว