นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงสูงด้านการเงิน เนื่องจากมี "ช่องโหว่" ให้กลุ่มมิจฉาชีพเข้ามาใช้ประโยชน์ เพราะจุดแข็งของประเทศคือ ระบบการเงินที่มั่นคงและมีเสถียรภาพ ค่าเงินบาทแข็งแกร่ง ทำให้เป็นที่ดึงดูดของอาชญากร
ขณะเดียวกัน สภาพภูมิประเทศที่มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีระบบการเงินยังไม่พัฒนาเท่าประเทศไทย ทำให้เกิดการรั่วไหลสูง และรวมถึงนวัตกรรมทางการเงินสมัยใหม่ เช่น คริปโตเคอร์เรนซี ทำให้การติดตามเส้นทางการเงินเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าหน้าที่
ทั้งนี้ จากการประชุมคณะกรรมการเชื่อมโยงการเงิน ซึ่งตนเป็นประธานนั้น ได้มีมติจัดตั้งดาต้าบูโร (Data Bureau) ให้แล้วเสร็จภายในเดือนพ.ย.68 เพื่อรวบรวมข้อมูลจากทุกหน่วยงานมาไว้ที่ส่วนกลาง สนับสนุนการสืบสวนสอบสวน โดยข้อมูลจากดาต้าบูโร จะถูกนำไปสนับสนุนคดีปราบปรามระยะสั้น และจะยกระดับมาตรฐานสากลและกฎหมายใหม่ให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล
นายเอกนิติ กล่าวว่า รัฐบาลจำเป็นต้องมีการออกกฎหมายใหม่ โดยภายใต้ระยะเวลาที่จำกัดเพียง 4 เดือนในการบริหารประเทศ จึงจะออกเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ขึ้นมาเพื่อให้สามารถระบุตัวตนและเชื่อมโยงข้อมูลกับต่างประเทศได้ เพื่อป้องกันการฟอกเงินผ่านช่องทางคริปโตเพื่อซื้อทองคำ หรือรถหรูแล้วส่งออก
สำหรับคณะกรรมการชุดการเชื่อมโยงทางการเงิน ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการแก้ไขปัญหาที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ (เช่น ตำรวจ, DSI, ปปง.) ทำงานแบบแยกส่วน และมีกฎหมายของตนเองที่ไม่ได้เชื่อมโยงกันอย่างเต็มที่ ยกตัวอย่างเช่น ปปง. อาจเอื้อมไม่ถึงคริปโต ซึ่งมักถูกกำกับดูแลโดยหน่วยงานอื่นและอาจอยู่นอกประเทศ
ขณะเดียวกัน เพื่อแก้ไขปัญหาเงินสีเทา การฟอกเงิน และสแกมเมอร์นั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญอย่างมากและเป็นประธานชุดปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแล้ว 4 ชุด ได้แก่
1. ชุดปราบปราม
2. ชุดเทคโนโลยี
3. ชุดการเชื่อมโยงทางการเงิน เน้นการอุดช่องโหว่
4. ชุดประชาสัมพันธ์
“นายกรัฐมนตรีได้มอบอำนาจเต็มที่ ให้คณะทำงานทั้ง 3 คณะ และให้ความมั่นใจว่าจะไม่มีการช่วยเหลือใครในการปราบปรามอาชญากรอย่างเด็ดขาด”